วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ม้าเป็นสิ่งมีชีวิต

คนเราสามารถหลีกเลี่ยงอะไรได้หลายอย่างในชีวิต เลี่ยงเพื่อไม่ให้พบเจอความลำบากทั้งกายและใจ หรืออาจจะเลี่ยงๆไปก่อน แล้วค่อยผลัดไปวันหน้า วันที่สภาพร่างกายและจิตใจพร้อม

แต่คงมีสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไปได้ ไม่ว่าจะหลีกเลี่ยงยังไง สุดท้ายมันก็จะวนกลับมา..........

สิ่งนั้นมีชื่อว่า "ความจริง"

ถึงจุดนี้คงต้องยอมรับความจริงที่ว่า ในวงการม้าแข่ง ถ้าไม่ถึงที่สุด ก็คงไม่เรียกหมอเข้าไปดู บางที่เรียกเข้าไปผมก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

ถ้าเปรียบม้าเป็นผ้าผืนนึง เมื่อมันเปื้อนเทรนเนอร์ก็พยายามที่จะซัก เพื่อให้มันกลับไปขาวดังเดิม แต่หลายต่อหลายครั้งก็พบว่า การพยายามซักผ้านั้นด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่ไม่รู้วิธีซักที่ถูกต้อง นอกจากจะไม่ทำให้รอยเปื้อนเก่าไม่ออกไป รอยเปื้อนใหม่ก็เพิ่มขึ้น อาจแถมซ้ำด้วยรอยฉีกขาด...........

พยายามรักษา อาจจะเป็นเจตนาดี ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีไป แต่ถ้าผลออกมาในทางตรงกันข้ามล่ะ.....

การรักษาไม่ใช่แค่การทายา การฉีดยา หรือการให้น้ำเกลือ
คุณสามารถหาซื้อยาที่ไหนก็ได้ถ้าคุณมีเงินจ่าย และคนขายต้องการเงินนั้นโดยไม่นึกถึงผลเสียที่ตามมา

ร้านขายยาหลายที่ขายยาให้กับเทรนเนอร์ หรือเจ้าของม้า ซื้อง่ายขายคล่อง คนซื้อเดินเข้ามาถามหาสิ่งที่ต้องการ คนขายก็ขายไป อย่างกับขายขนม.....

นี่คือความจริงที่เกิดขึึ้นทุกวัน........Ugly truth..........


ทว่าผลเสียที่ตามมา ใครจะรับผิดชอบ.........

รับผิดชอบ ถ้าแปลไทยเป็นไทยก็คือ เมื่อได้ทำอะไรลงไปแล้ว ถ้าเกิดความผิดพลาดเสียหาย ก็ต้องรับผลของความผิดนั้นๆ และเมื่อทำอะไรลงไปแล้วเกิดผลดี เป็นประโยชน์ ก็ต้องรับความดีความชอบไป

แต่........

ความชอบข้าน้อยขอรับไว้ ส่วนความผิดนั้นไซร้ ม้าก็รับไปเต็มๆ

หัวใจของการรักษาคืออะไร?..................................... การให้ยา? การฉีดยา? การทายา? การผ่าตัด?

..................

หัวใจของการรักษาคือ "การวินิจฉัย"

การรักษาต้องใช้ประสบการณ์..... อยู่กับม้ามาทั้งชีวิตย่อมเห็นอะไรมามากกว่า แต่การเห็นมากกว่าไม่ได้เป็นข้อยืนยันว่าคุณสามารถรักษาได้

การรักษาต้องใช้ความรู้..... ความรู้จริงๆ ที่ไม่ใช่ ความเชื่อ เชื่อว่าตนเองนั้นรู้ไม่ได้หมายความว่ารู้จริงๆ อย่าเข้าใจผิด


การวินิจฉัย เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของ เหมือนกระดุมเม็ดแรกที่ติด ถ้าคุณติดผิด เม็ดต่อๆ ไปมันก็ผิดเหมือนกัน แต่กระดุมนั้น ติดผิดติดใหม่ได้...... แต่ชีวิตถ้าเสียไปแล้วมันเอากลับคืนมาไม่ได้......

การให้ยา ไม่ใช่ว่าสัตว์มีอาการอะไรก็ให้ไปตามนั้น ฉีดยาไม่ได้แปลว่าเสร็จสิ้นกระบวนการการรักษา

มีมั้ยครับ คนที่อ้วน แล้วกินยาลดความอ้วนแล้วหายอย่างถาวร......... ระหว่างกินยาอาจจะผอมลง แต่ถ้ายังมีพฤติกรรมการกินเหมือนเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม สุดท้ายก็กลับมาอ้วนอีกแน่นอน

โรคที่เกิดขึ้นหลายโรค มักจะเกิดซ้ำ บางตัวเป็นๆ หายๆ บางตัวเป็นแล้วไม่หาย หายอีกทีก็หายจากโลกนี้ไป พอตัวใหม่มาก็เป็นโรคคล้ายๆ เดิม คอกไหนเป็นอย่างไร ก็มักจะเป็นแบบนั้นอยู่เรื่อยๆ

เคยคิดมั้ยว่าเพราะอะไร?? (เอากระจกหน่อยมั้ย?)

ถ้าคุณรู้ว่าผ้ามันจะเปื้อน คุณจะทำอย่างไร?? รอให้มันเปื้อน แล้วค่อยซัก? ซักไม่ออกก็ฉีกมันทิ้ง หาผื่นใหม่มาใช้ เพื่อให้มันเปื้อนอีก?

หรือหาวิธีไม่ให้ผ้ามันเปื้อน? ง่ายกว่ากันมั้ยครับ?

มีหลายคนที่พยายามบอกวิธี เพื่อลดโอกาสไม่ให้ผ้าเปื้อนกับคุณอยู่ ลองดูความจริงสิครับ
.
.
.
.
.
.

หลายคนอาจจะลืมไปแล้ว ม้าเป็นสิ่งมีชีวิตนะครับ ไม่ใช่ผ้า

โปรดอย่าลืม

ไข้ลงกีบ ทางเลือกที่คุณเลือกได้

ไข้ลงกีบ ทางเลือกที่คุณเลือกได้

"ไม่ไหวแล้วหมอ ไข้มันลงกีบ ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ผมเห็นมาหลายตัวแล้ว รอวันตายอย่างเดียว"

หลายต่อหลายครั้งที่ได้ยินคำพูดในลักษณะนี้ เป็นคำพูดในลักษณะที่ถอดใจ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้น โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อเผชิญหน้ากับโรคนี้..... โรคไข้ลงกีบ

ไข้ลงกีบคืออะไร?

"ก็พอม้ามันเป็นไข้ พอเป็นหลายๆวัน ไข้ไม่ลด มันก็จะเริ่มลงมาที่กีบไงหมอ"

....

หลายต่อหลายคนเชื่อเช่นนั้นครับ
จะว่าไปชื่อภาษาไทย ไข้ลงกีบ มันก็ไม่ถูกต้องนัก และสร้างความเข้าใจผิดอย่างมาก เพราะโรคนี้ไม่ใช่ว่าม้าเป็นไข้แล้วมันจะวิ่งลงไปที่กีบ

ไข้นะไม่ใช่แมลงสาบ.......


ไข้ลงกีบ ในภาษาอังกฤษมีชื่อเรียกว่า Laminitis (ลามิไนตีส) ซึ่งชื่อภาษาอังกฤษ ดูจะอธิบายได้ดีกว่า ตรงตัวตรงประเด็นที่สุด เพราะความจริงโรคนี้เป็นการอักเสบ (-itis) ของลามินา (Lamina)

Lamina (ลามินา) คือส่วนที่เชื่อมผนังกีบด้านใน และกระดูกภายในกีบ (Coffin bone) หากเกิดการอักเสบ สิ่งที่ตามมาคงหนีไม่พ้นการแยกออกจากกันระหว่างผนังกีบ และกระดูกที่อยู่ด้านใน

ลองนึกภาพตอนที่เราตัดเล็บแล้วเข้าเนื้อ หรือใครเคยบาดเจ็บแล้วเล็บถอดนะครับ มันเจ็บปวดระดับนั้น เพราะกีบม้าและเล็บของเราเป็นโครงสร้างเดียวกัน มีเส้นเลือด เส้นประสาทจำนวนมากบริเวณปลายเล็บ
 คนเราสามารถเลี่ยงไม่ให้เกิดน้ำหนักกดทับลงบนเล็บให้เจ็บเพิ่มได้ แต่ม้าไม่มีทางเลือกครับเพราะม้ายืนอยู่บนกีบ ต้องรับน้ำหนักร่างกายที่กดลงมาอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยง

ความเจ็บปวดเป็นเช่นไรนั้น ผมไม่ทราบ แต่น่าจะเจ็บมากแน่ๆ (เจ็บเหมือนคลอดลูกหรือไม่ก็ไม่รู้ เพราะไม่เคยเช่นกัน)

แล้วการอักเสบนี้มาจากไหน? เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเป็น

คำตอบที่ผมมักจะตอบเสมอ คือ "มันไม่ได้อยู่ดีๆ แล้วเป็นครับ มันอยู่ไม่ดีต่างหากมันถึงได้เป็น........ "

ครับ หมอกวนตีนครับ 555

แต่ผมไม่ได้ยียวนกวนประสาท มันคือความจริงครับ ความจริงที่ต้องรับมันให้ได้ว่าปัญหาเกิดจากสิ่งที่ตนเองทำ ไม่ใช่ความผิดม้า

มันเกิดจากการจัดการ ปัญหานี้เกิดจากการให้อาหารที่ไม่เหมาะสมครับ ยกตัวอย่างเช่น ให้อาหารเม็ดปริมาณมากเกินไปต่อมื้อ( >1.5 kg ต่อม้าน้ำหนัก 400-450 kg) และให้แค่ 2 มื้อ เช้า-เย็น การให้อาหารเช่นนี้จะทำให้ม้ามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคมากขึ้น

พอถึงบรรทัดนี้ หลายๆ คน ก็คงจะทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามใส่หมอ หรือบางคนก็จุดฟูลสต๊อปเต็มหน้า............โรคนี้อาจทำความเข้าใจยาก แต่ก็เข้าใจได้ครับ ถ้าลองฟัง

เมื่อเราให้อาหารที่ไม่เหมาะสมจะทำให้สมดุลย์ในลำไส้สูญเสียไป แบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้จะตายเพราะไม่สามารถทนต่อสภาวะแวดล้อมที่เป็นกรดภายในลำไส้ได้ สิ่งที่ออกมาจากผนังเซลล์ของแบคทีเรียพวกนี้คือสารพิษ ที่เรียกว่า Endotoxin (เอ็นโดท๊อกซิน) สุดท้ายจะเข้าสู่กระแสเลือดเกิดภาวะเลือดเป็นพิษ (Endotoxemia) และไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่งเอนไซม์ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า Methallo protein ซึ่งจะไปย่อยผนังของลามินา รวมถึงเมื่อเลือดเป็นพิษ ความสามารถในการขนส่งออกซิเจนก็จะทำได้ลดลง ทำให้เซลล์ของลามินาตายเพิ่มมากขึ้น เกิดการอักเสบของลามินาในที่สุด

และนั่นทฤษฎีหนึ่งที่พยายามอธิบายที่มาของโรคนี้...... ไข้ลงกีบ....... 

เมื่อไข้ลงกีบเกิดขึ้น สิ่งที่คนมักฉีดให้กับม้าก็คือ ยาลดการอักเสบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Phenylbutazole หรือ Prednisolone หรือไม่ก็ให้น้ำเกลือ

อย่างแรก Phenylbutazole หรือที่เรียกกันว่า บิ๊ว (Butasyl) ลดการอักเสบได้ แต่ถ้าให้มาก และติดต่อกันเป็นเวลานาน สิ่งที่ตามมาคือ แผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งทำให้ม้าตายได้ในเวลาอันสั้น (ที่ให้กัน 15-20 CC นั่นก็ถือว่าเป็นสองถึงสามเท่าของโดสปกติแล้วครับ)

ลำดับที่สอง Prednisolone ยานี้ตัวเป็นสเตอรอยด์ครับ ส่งผลให้เส้นเลือดปลายระยางค์หดตัว.......
 สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเส้นเลือดปลายระยางค์หดตัวก็คือ เลือดที่ไปเลี้ยงลามินาก็ลดลงอีก ยิ่งทำให้อักเสบมากขึ้น

ไม่ช่วยแล้วยังซ้ำเติม.........

ในกรณีที่ม้าแสดงอาการไข้ลงกีบแล้ว หรือมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการนี้ สิ่งที่ช่วยได้มากที่สุด และให้ผลดีที่สุดไม่ใช่การฉีดยาครับ เป็นวิธีง่ายๆ ที่ฟังแล้วอาจจะหนาวววววววววววววววววววว เพราะว่าต้องใช้ "น้ำแข็ง"

ไม่ขำสินะ.........
 ครับ ใช้น้ำแข็งประคบตั้งแต่ไรกีบขึ้นไปจนถึงข้อเข่า อาจใช้กระสอบมาตัดให้ก้นทะลุ หรือใช้ขากางเกงเก่าก็ได้ สวมเข้ากับขาม้าแล้วมัดด้านล่าง เปิดช่องด้านบนไว้ แล้วใส่น้ำแข็งลงไป พอหมดก็เดิม โดยจากผลการวิจัยและเก็บข้อมูลของหมอหลายๆ ท่าน พบว่าการทำแบบนี้ ติดต่อกันเป็นเวลา 48 ชั่วโมง จะลดโอกาสในการเกิดโรคได้ดีที่สุด (ผมได้ข้อมูลยืนยันล่าสุดจากการไปสัมมนาที่ Hongkong Jockey club ในหัวข้อ Equine medicine course เมื่อปลายปี 2013)

และการใช้น้ำแข็งนี้จะได้ผลดีที่สุด หากเราทำตั้งแต่ม้ายังไม่แสดงอาการ แต่เกิดโรคที่มีแนวโน้มว่าจะทำให้ม้ามีภาวะเลือดเป็นพิษ (Endotoxemia) เช่น ท้องเสีย 

ถ้ามีแนวโน้ม ก็อย่ามัวลังเล รีบทำครับ ค่าน้ำแข็ง ค่าขากางเกง ความเหนื่อยที่ต้องทำ ผมว่ามันคุ้มถ้าจะแลกกับการที่ม้าตัวนึงไม่ต้องเป็นโรคนี้ หรือถ้าคิดว่าไม่จำเป็นก็รอให้เป็นก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยมานั่งเสียใจทีหลัง

แต่ก็อย่าลืมว่าทั้งหมดทั้งมวลมันเกิดจากการจัดการของเราทั้งสิ้น

การรักษาโรคนี้ให้หายสามารถทำได้ครับ ซึ่งใช้เวลานาน และใช้ค่าใช้จ่ายสูง  แต่ถ้าดูแลอย่างดีก็หายเป็นปกติได้ครับ (เล็บม้าใช้เวลาในการเจริญจากบริเวณไรกีบลงไปถึงพื้น ใช้เวลา 8 เดือน) สิ่งที่ต้องทำคือ ปรับเรื่องการให้อาหาร ประเมินอาการด้วยการเอ๊กซเรย์ วางแผนการตัดแต่งกีบ รองกีบด้วยยางและซิลิโคน ดูแลเรื่องความสะอาด และอื่นๆ อีกมากมาย

การรักษานั้นมีหลายขั้นตอน และใช้เวลานาน มันไม่ง่ายครับ

มีบ้างบางกรณีที่เกิดการอักเสบของลามินาเนื่องจากการถ่ายน้ำหนักจากขาอีกข้างที่เจ็บ จนทำให้ข้างที่เหลือต้องรับน้ำหนักสองเท่า จนเกิดการอักเสบครับ แต่เท่าที่พบมาไม่บ่อยนัก และถึงจะพบจากสาเหตุนี้ ก็มักมีสาเหตุเรื่องการให้อาหารร่วมอยู่ด้วยเสมอๆ
........
........

มาถึงบรรทัดนี้ เรื่องเกี่ยวกับไข้ลงกีบยังไม่หมด ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก แต่มันจะลงลึกไปเรื่อยๆ และอาจจะน่าเบื่อเกินไป

หลายคนอาจถอดใจเมื่อเจอกับโรคนี้เข้าไป แต่ลองคิดทบทวนให้ดีๆ ครับ คุณยังมีทางเลือก

1. ในเมื่อการรักษามันยากนัก ทำไมเราจึงไม่เลือกที่จะป้องกัน ทั้งๆ ที่การป้องกันก็เปลี่ยนได้ง่ายๆ ที่ตัวเรา ขยันขึ้นอีกนิด ทำความเข้าใจกับคนเลี้ยงให้ตรงกัน เพราะผมว่าคงไม่มีใครอยากให้ม้าเป็นไข้ลงกีบแน่ๆ

2. หาม้าตัวใหม่สิครับ ตัวเก่าก็ทิ้งไป ตายๆ ไปซะ คนดูแลจะได้สบาย

.
.
.
.
.

แน่นอน ข้อที่ 2 น่ะ มีคนเคยพูดกับผมเช่นนั้น และผมแค่ประชด


ตนเองสร้างปัญหา แต่ไม่รู้ว่าปัญหานั้นเกิดเพราะตนเอง โทษแต่อย่างอื่น ลองดูนี่ก่อนสิครับ....... (ยื่นกระจกให้)

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ยิ่งรู้ยิ่งไม่เข้าใจ


สุดท้าย....... ยิ่งฉันเรียนรู้มันมากแค่ไหน ยิ่งรู้ยิ่งไม่เข้าใจสักอย่างจริงๆ ฮู้ ฮู้วววววววววววววววววววว

ในวงการม้า ผู้ที่มีอิทธิพลและมีอำนาจในการควบคุมชะตาชีวิตของม้าแต่ละตัวนั้น หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเจ้าของม้า ผู้เป็นเจ้าของชีวิตของม้าแต่ละตัว เป็นผู้ที่ออกเงินเพื่อจะให้ได้ม้าตัวนั้นๆ มาครอบครอง

ผมเกริ่นนำแบบนี้ แน่นอนครับว่าไม่ใช่เจ้าของม้าแน่นอน แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อว่า “เทรนเนอร์”

เทรนเนอร์: (น.) ผู้ฝึกหัดนักกีฬา, ผู้ฝึกหัดม้า ……..
เทรนเนอร์ก็เป็นคนที่ฝึกหัดม้าเพื่อให้ม้ามีพละกำลัง เหมาะสมที่จะไปเป็นม้าแข่งที่ดี เป็นผู้ชนะในสนามอันทรงคุณค่า(ทางธุรกิจ)

ก็เป็นเช่นนั้นแหละครับ แต่เทรนเนอร์หลายคนก็ไม่ธรรมดา

เทรนเนอร์จะฝึกหัดม้าให้มีพละกำลังด้วยการกำหนดตารางฝึกซ้อม การตีวง การออกกำลังกาย การพาไปว่ายน้ำ การนำม้าไปปล่อยเพื่อให้คุ้นชินกับการเข้าซองสตาร์ท เป็นการเตรียมความพร้อมทุกอย่างเพื่อการแข่งขัน

สูตรใครก็สูตรมัน แต่ละคนก็มีเคล็ดลับแตกต่างกันไป

แต่ที่ผมแปลกใจมากถึงมากที่สุดก็คือ เทรนเนอร์ "บางคน" (เน้นว่าบางคน ผมไม่ได้เหมารวมนะครับ) สามารถฝึกซ้อมม้าด้วยเข็มฉีดยาได้ด้วย ม้าเจ็บป่วยอะไรก็ให้ยาได้ด้วยตนเองได้ ไม่ต้องพึ่งหมอกันเลย บางคนอยู่กับม้ามาตั้งแต่เด็ก รู้หมดแล้วว่าถ้าม้ามีอาการแบบนั้นแบบนี้ควรให้อะไร หมอยังรู้ไม่เท่าเลย.......... ขาดเขลาเสียจริง

ที่ผมได้เจอมามันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยครับ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันหนึ่งหมอผู้ขาดเขลาเดินเข้าไปในคอกม้าที่ได้นัดแนะกันไว้ว่าจะเข้าไปตรวจรักษาม้าตัวหนึ่งให้ เห็นเทรนเนอร์คนเก่งกำลังให้น้ำเกลือม้าทางเส้นเลือด สิ่งที่แขวนอยู่ติดฉลากว่าเป็นน้ำเกลือชนิด N-S-S แต่ไม่ธรรมดาแน่ๆ เพราะสีของน้ำเกลือที่อยู่ภายในมันไม่ใช่สีปกติ.......... สีสวยเชียว

หมอผู้ขาดเขลา: พี่ๆ นี่พี่ให้ยาอะไรเหรอครับ.......
เทรนเนอร์คนเก่ง: อ๋อ ให้น้ำเกลือกับยามันหน่อยน่ะครับ มันทรุดๆ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
หมอผู้ขาดเขลา: มันเป็นอะไรเหรอครับ (ทำหน้าแบ๊วๆ)
เทรนเนอร์คนเก่ง: ลำไส้มันไม่ค่อยดีน่ะหมอ ก็เลยให้ยาช่วยเรื่องลำไส้มันหน่อย
หมอผู้ขาดเขลา: ให้อะไรครับเนี่ย (ทำหน้าเป็นห่วง)
เทรนเนอร์คนเก่ง: อ๋อ ก็ให้ Pendistrep น่ะครับ
หมอผู้ขาดเขลา: .................. (แอ๊บไม่เนียน เผลอเงียบอึ้งไปสองวิ) ตอนแรกอาการเป็นอะไรนะครับ
เทรนเนอร์คนเก่ง: พี่อีกคนเค้ามาดูเค้าบอกว่ากล้ามเนื้อมันไม่ค่อยดีครับ เลยบอกให้ให้ยาน่ะครับ ช่วยเรื่องลำไส้มันหน่อย
หมอผู้ขาดเขลา: .................. อ๋อออออออออออ ครับ ให้มากี่วันแล้วเนี่ย (หมอผู้ขาดเขลา กำลังคิดในใจ และเริ่มขมวดคิ้ว โดยที่ไม่รู้ตัว................... อืม กล้ามเนื้อไม่ดี เลยให้ยาช่วยเรื่องลำไส้นี่เอง)
เทรนเนอร์คนเก่ง: ก็นี่ให้มาวันที่สามแล้วครับหมอ วันละครั้ง อาการมันก็ดีขึ้นนะ ตอนแรกหายใจหอบด้วย นี่ดีขึ้นละ
หมอผู้ขาดเขลา: ตอนแรกมันเป็นอะไรเหรอครับ (แอ๊บทำหน้าอยากรู้ต่อไป)
เทรนเนอร์คนเก่ง: ตอนแรกหลังมันเจ็บน่ะหมอ นี่พี่ชายผมฉีดยาแล้วก็ดีขึ้นละ แต่มันก็ยังหอบอยู่ เลยให้ยาช่วยเรื่องลำไส้มันหน่อย
หมอผู้ขาดเขลา: ................................................... เจ็บหลังก็เลยฉีดยาที่หลังเหรอครับ พอหลังไม่เจ็บแล้ว แต่ก็เห็นว่าม้ายังหอบอยู่ เลยให้ยาช่วยเรื่องลำไส้มันหน่อยเหรอครับ (เก็บอาการไม่อยู่ ปากยิ้ม แต่คิ้วขมวด)
เทรนเนอร์คนเก่ง: ครับหมอ เดี๋ยวหมอเตรียมของเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวผมให้ยาตัวนี้เสร็จแล้วจะไปจับตัวนั้นให้หมอตรวจครับ
หมอผู้ขาดเขลา: ................. (หันหลังกลับและเดินกลับไปที่รถ แล้วก็หยิบของเพื่อเตรียมลงไปตรวจม้าตามปกติ)

ระหว่างนั้นก็ได้แต่คิดทบทวนถึงสิ่งที่เพิ่งรับรู้มา

สูตรการให้ยาแบบนี้ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย มันช่างแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด เหมือนเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด

ม้าเจ็บกล้ามเนื้อเลยฉีดยาไป แต่ยังไม่หาย และม้าหอบอยู่ ก็เลยให้ยาเพื่อช่วยเรื่องลำไส้............. มันใช่เหรอวะ


สวดยวดเลยลวกเพี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

 +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อีกวันหนึ่ง(ก่อนหน้าวันหนึ่งครั้งที่แล้ว) ผมเข้าไปตรวจม้า และรายงานผลว่าม้าตัวนี้ควรปลด ไม่ควรนำมาเป็นม้าแข่งอีก เนื่องจากกระดูกเข่าแตกเป็นชิ้นเล็กๆ (Chip fractures) หลายชิ้น และมีแคลเซียมมาพอก เข่าข้างนึงบวมกว่าอีกข้างนึงที่ปกติเกือบสองเท่า (แค่เดินก็เจ็บแล้ว)

ผู้สถาปนาตนเองว่าเป็นหมอ: เป็นไงบ้างหมอ รักษาไม่ได้ใช่มั้ย ผมก็ว่าแล้วล่ะว่ามันต้องกระดูกแตกซ้ำแน่เลย ผมก็บอกเจ้าของแล้วว่าไม่ต้องให้หมอเข้ามาหรอก ถึงตรวจรู้ว่าเป็นอะไรหมอก็รักษาไม่ได้แล้ว เดี๋ยวผมรักษาเอง

หมอผู้ขาดเขลา: ................................ (มองหน้านิ่งๆ พยายามยิ้ม แต่คิ้วขมวดอีกแล้ว)

ผู้สถาปนาตนเองว่าเป็นหมอ: เนี่ย ก่อนหน้านั้นหมอ A (นามสมมติ) ก็เข้ามาเอ็กซเรย์แล้วก็บอกว่ากระดูกเข่าแตก ให้ไปผ่าตัด ผมก็ไม่ได้ผ่านะ เค้าบอกว่าแตกไม่เยอะ ผมมียาดีไงใช้ทาเข่าเอา ทาสักสองสามวัน น้ำเหลืองมันก็ไหลออกมานะ เลือดเสียก็ไหลออกมาจากเข่าหมดละ เศษตอนนั้นก็ออกมาด้วย ผมก็เลยเอากลับไปแข่งอีก

หมอผู้ขาดเขลา: .............................. เกลื่อนจนถึงข้างใน จนกระดูกออกมาเลยเหรอครับ?

ผู้สถาปนาตนเองว่าเป็นหมอ: ใช่ พอไปให้หมอ B (นามสมมติ) มาเอ็กซเรย์อีกที เค้าก็บอกว่าไม่เห็นเศษกระดูกแล้วนะ (พ่นควันบุหรี่ผ่านหน้าผมไป พร้อมทำหน้ามั่นใจ)

หมอผู้ขาดเขลา: หมอที่ไหนเหรอครับมาเอ็กซเรย์ให้ (ผมถามไปงั้นแหละ เพราะคนเลี้ยงบอกแล้วว่าใครมาดูให้ และเป็นพี่หมอคนที่ผมรู้จัก และได้โทรไปถามแล้ว พบว่าตอนนั้นยังมีเศษกระดูกแตกหลายจุด และมีแคลเซียมมาพอกเต็มไปหมด)

ผู้สถาปนาตนเองว่าเป็นหมอ: เค้าบอกว่ามีแคลเซียมมาพอกปิดหมดแล้ว
หมอผู้ขาดเขลา: ผมโทรคุยกับพี่เค้าแล้วครับ พี่เค้าบอกผมแล้วว่าตอนนั้นยังมีแตกอยู่หลายจุดด้วย และมีแคลเซียมมาพอกเยอะเลย

ผู้สถาปนาตนเองว่าเป็นหมอ: เฮ้ย ไม่ใช่นะหมอ ตอนนั้นเค้าบอกว่ามีแคลเซียมมาพอกปิดหมดแล้ว

หมอผู้ขาดเขลา: ไม่ใช่ครับ ตอนนั้นก็เศษกระดูกก็ยังอยู่ และมีแคลเซียมมาพอก เพราะว่ามันอักเสบมากครับ พี่หมอคนนั้นยืนยันกับผมเอง

ผู้สถาปนาตนเองว่าเป็นหมอ: แต่มันก็ไปวิ่งได้นะหมอ ซ้อมก็ไม่เป็นอะไร แต่พอวิ่งมาแล้วก็เจ็บเนี่ย

หมอผู้ขาดเขลา: วิ่งได้ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บครับ ไม่ได้แปลว่ากระดูกไม่แตกแล้ว

ผู้สถาปนาตนเองว่าเป็นหมอ: แต่มันไม่เจ็บนะหมอ ยาผมทาไปมันก็ไม่ได้กัดอะไรมาก หนังมันก็ค่อยๆ ลอกออก ไม่เจ็บ

หมอผู้ขาดเขลา: มันบอกหรือเปล่าครับว่ามันไม่เจ็บ ถ้ายังไงพี่ลองเอายามาทาเข่าพี่นะว่ามันเจ็บหรือไม่เจ็บ


ผู้สถาปนาตนเองว่าเป็นหมอและมียาดี ไม่ได้โกรธเคืองอะไรผม คุยกันไปเรื่อยๆ หัวเราะใส่กันด้วยซ้ำครับ คุยกันอยู่นาน............................ แล้วสุดท้ายประโยคเด็ดก่อนลาก็ออกมา

ผู้สถาปนาตนเองว่าเป็นหมอ: ที่หมอมันเรียนมามันเป็นเหมือนด้านสว่างไง ของผมมันก็เหมือนด้านมืด แต่ของผมมันก็รักษาหายได้เหมือนกัน หมอไม่รู้หรอกว่าผมทำอะไรได้ ยาผมรักษาม้ามาเป็นร้อยตัวแล้ว ส่วนใหญ่หายทั้งนั้น ตัวที่ไม่หายก็คือมันเป็นหนักจริงๆ เท่านั้นแหละ

หมอผู้ขาดเขลา: (หัวเราะด้วยหน้าตาบิดเบี้ยว) 5555 โอเคครับพี่ ถ้ายังไงวันหลังพี่จะรักษาเนี่ย โทรบอกผมนิดนึง ผมอยากเห็นกับตาจริงๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันรักษาแบบที่พี่บอกได้ด้วย วันนี้ผมกลับก่อนนะครับ

...........


แน่นอนผมไม่ได้เข้าคอกนั้นอีก ไม่มีการโทรตามผม และผมก็ไม่ได้โทรถามไถ่อะไรอีก

กระดูกแตก ไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้หายและเอาเศษกระดูกที่แตกออกมาจากข้อเข่าได้ นอกจากการผ่าตัดครับ ขนาดผ่าตัดกว่าจะเอาออกมาได้ยังยากเลย เพราะมันมีเยื่อหุ้มกระดูกที่ยึดเศษกระดูกนั้นไว้ ซึ่งแข็งแรงไม่ใช่ย่อยเลย


นี่แค่สองเรื่องนะครับ เทรนเนอร์บางคนนี่เค้ามีอะไรที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนนะครับ

แค่ ”บางคน” เท่านั้นแหละครับ


แผลในกระเพาะอาหารม้า โรคที่รุนแรงกว่าที่คุณคิด


gastriculcer 01แผลในกระเพาะอาหาร โรคที่เรามองไม่เห็น และอันตรายกว่าที่คิด
ม้าที่มนุษย์เลี้ยงเป็นม้าแข่ง มีโอกาสเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้สูงถึง 50% เนื่องจากสภาพการเลี้ยง และการใช้งานที่มากกว่าธรรมชาติ จากการสำรวจของ Dr.Nanna Luthersan พบว่าม้าแข่งที่ให้อาหาร 2 มื้อเช้า-เย็น และให้หญ้าเป็นมื้อไม่ได้มีให้กินอย่างเพียงพอตลอดทั้งวัน ความเสี่ยงในการเป็นแผลในกระเพาะอาหารจะเพิ่มสูงถึง 80%


เวลาที่ม้าได้กินอาหารข้น สิ่งที่หลั่งออกมาคือน้ำย่อยที่มีความเป็นกรดสูง

หากม้าไม่ได้รับอาหารหยาบอย่างเพียงพอ
การหลั่งน้ำลายจะลดลงเพราะการเคี้ยวลดลง เมื่อสภาวะทางเดินอาหารเป็นกรด การเคลื่อนที่ของอาหารภายในลำไส้เล็กก็จะเร็วขึ้น ผลเสียก็คือลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างเต็มที่ ย่อยคาร์โบไฮเดรตได้ไม่หมด และเหลือตกลงไปยังลำไส้ใหญ่ ก่อให้เกิดผลเสียตามมามากมาย เช่น ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดสูงกว่าปกติ ลำไส้ใหญ่ที่มีอาหารตกลงไปก็จะเสียสมดุลย์ แบคทีเรียในลำไส้ก็จะตายและปล่อยสารพิษออกมาและถูกดูดซึมเข้ามาในกระแสเลือด กรดและสารพิษเหล่านี้จะทำให้เยื่อเคลือบกระเพาะอาหาร (Mucosal barrier) บางลง และเสี่ยงต่อการเป็นแผลในกระเพาะอาหารมากขึ้น

หากม้าได้รับหญ้าอย่างเพียงพอ
หากมีหญ้าให้ม้ากินตลอดทั้งวันอย่างเพียงพอ จะทำให้ม้าเคี้ยวหญ้าและเกิดการหลั่งน้ำลายมาช่วยลดความเป็นกรด ช่วยลดความเร็วในการเคลื่อนที่ของอาหารในลำไส้เล็กให้ช้าลง ผลดีก็คือจะทำให้ลำไส้เล็กมีเวลาในการดูดซึมสารอาหารได้เต็มที่มากขึ้น และมีคาร์โบไฮเดรตเหลือลงไปยังลำไส้ใหญ่ในปริมาณน้อย ไม่รบกวนสมดุลย์ของลำไส้ และไม่เกิดผลเสียตามมา

ปริมาณอาหารข้นที่ให้ก็มีความสำคัญ
เนื่องจากธรรมชาติของม้าเป็นสัตว์ที่กินตลอดทั้งวัน กินน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง การให้อาหารเป็นมื้อๆ ในปริมาณมาก จะทำให้ม้าไม่สามารถย่อยได้ทัน และส่งผลให้สมดุลย์ของทางเดินอาหารเสียไป เกิดผลเสียตามมามากมาย (สำหรับม้าน้ำหนัก 400 kg ไม่ควรให้อาหารข้นเกินมื้อละ 2 kg) รวมถึงการให้อาหาร 2 มื้อ เช้า-เย็น ก็จะยิ่งทำให้สมดุลย์ของทางเดินอาหารเสียไป

ความเครียด
ความเครียดที่เกิดจากสภาพการเลี้ยง การฝึกซ้อม และสิ่งที่มนุษย์กระทำต่อม้าก็มีผลด้วย เพราะเมื่อม้าเครียดก็จะทำให้มีการหลั่ง Cortisol มากขึ้น ส่งผลให้เกิดการสร้างเยื่อเคลือบกระเพาะอาหารมาทดแทนได้ช้าลง เพิ่มโอกาสการเป็นแผลในกระเพาะอาหารมากขึ้น

ม้าที่อายุมากขึ้น
การสร้างเยื่อเคลือบกระเพาะก็จะทำได้ช้าลง การรักษาความสมดุลย์ของทางเดินอาหารทำได้น้อยลง เช่นเดียวกับคนที่อายุมาก จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ง่ายขึ้น

ม้าที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารจะมีอาการเสียดท้อง
เมื่อม้าเสียดท้องคนในวงการม้าส่วนใหญ่จะนิยมฉีดยาแก้ปวดที่ชื่อว่า Finadyne ซึ่งเป็นยาต้านการอักเสบในกลุ่มที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAIDs) ยาในกลุ่มนี้คนในวงการม้าจะรู้จักข้อดีว่าเป็นยาแก้ปวด แต่ไม่ทราบถึงผลข้างเคียงที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะการให้ยากลุ่ม NSAIDs สำหรับม้าที่เป็นแผลในกระเพาะอาหาร จะทำให้อัตราการสร้างเยื่อเคลือบกระเพาะอาหารลดลง อาการของโรคจึงหนักขึ้นกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ยาในกลุ่ม NSAIDs จึงถือเป็นยากลุ่มที่ไม่ควรใช้อย่างเด็ดขาดในกรณีที่สงสัยว่าม้าเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ยากลุ่มสเตอรอยด์ก็ไม่ควรใช้ด้วยเช่นกัน

คำถามที่พบบ่อย
ม้าที่เราสงสัยว่าเป็นแผลในกระเพาะอาหาร เมื่อมีไข้ขึ้นจะทำอย่างไร ในเมื่อหมอแนะนำว่าไม่ควรให้ยาลดไข้แก้ปวด คำตอบคือ การลดอุณหภูมิร่างกายไม่ได้มีแค่การฉีดยาเท่านั้น ในกรณีนี้เช่นนี้แนะนำให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัวม้าเพื่อลดอุณหภูมิแทนการให้ยา เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและไม่ส่งผลเสียตามมา

การวินิจฉัยยืนยัน
โรคแผลในกระเพาะอาหารสามารถวินิจฉัยยืนยันได้โดยการส่องกล้องกระเพาะอาหาร (Gastroscope) โดยจะต้องงดอาหารม้าก่อนส่องกล้องเป็นเวลา 18 ชั่วโมง โดยให้เอาสิ่งปูรองออกจากคอกด้วย และเอาน้ำออกก่อนส่องกล้อง 6 ชั่วโมง การส่องกล้องจึงจะมีประสิทธิภาพที่สุด ไม่เช่นนั้นจะมีเศษอาหารมาบดบังบริเวณที่เราต้องการดู และไม่สามารถหารอยโรคได้

การรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร 
ภายหลังการซักประวัติและตรวจร่างกาย หากพบว่าม้ามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรค สามารถให้ยาได้ทันที (Treatment trial)  เมื่อได้รับยาแล้วม้าจะอาการดีขึ้นภายในไม่กี่วัน แต่แผลจะใช้เวลานานจนกว่าจะหาย จึงต้องให้กินยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน ร่วมกับการปรับการจัดการการให้อาหารไปพร้อมๆ กันด้วย แต่วิธีที่ดีที่สุดคือการส่งกล้องกระเพาะอาหารเพื่อยืนยันโรค

อาการม้าที่บ่งบอกว่าม้าอาจจะเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร
  • กินน้ำน้อยลง แสดงอาการเจ็บปวดช่องท้อง เกร็งช่องท้องตลอดเวลา
  • ไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด ให้ยาแก้ปวดแล้วไม่หายปวด และอาการอาจจะแย่ลง
  • เมื่อสอดท่อเพื่อระบายสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหาร ม้าจะอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • การปวดเรื้อรังก็จะส่งผลต่อสภาวะทางอารมณ์ของม้า ทำให้ม้าจะหงุดหงิดง่ายขึ้น ขี้ตกใจง่ายขึ้น
  • ม้ามีอาการเสียดเป็นๆ หายๆ บ่อยครั้ง มักเป็นหลังจากที่นำไปออกกำลังกาย หรือฝึกซ้อม หรือกิจกรรมใดๆ ที่ได้รับความเครียดมากขึ้น (แต่ม้าบางตัวอาจจะแสดงอาการครั้งแรงที่รุนแรงเลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีประวัติการเสียดล่วงหน้าก่อนก็ได้)
ม้าที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารจะเจ็บมาก
ส่งผลให้การบีบตัวของกระเพาะอาหารลดลงทำให้อาหารคงค้างนานขึ้น หากเป็นมากจะส่งผลให้ลำไส้เล็กบีบตัวลดลงด้วย ด้วยเหตุนี้กระเพาะอาหารจะขยายตัวจากอาหารที่คงค้าง รวมถึงอาจมีการไหลย้อนของอาหารจากลำไส้เล็กกลับมาด้วย ม้าก็จะแสดงอาการเจ็บปวดมาก หากกระเพาะอาหารมีการขยายตัวมากๆ อาจทำให้กระเพาะอาหารแตกได้ และม้าจะตายในที่สุด แต่หากสอดท่อระบายสิ่งที่คงค้างในกระเพาะอาหารแล้วกระเพาะจะหดตัว ม้าก็จะอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

gastriculcer 02 gastriculcer 03  gastriculcer 04

สุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพม้าไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม ก็คือการป้องกันไม่ให้เกิดโรค เพราะเป็นสิ่งที่เราได้ง่ายที่สุด การรักษาและการวินิจฉัยเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น การป้องกันด้วยการปรับการจัดการการให้อาหาร เป็นสิ่งที่เจ้าของม้าหรือผู้ดูแลสามารถทำได้โดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ แม้แต่น้อย แต่สำหรับการวินิจฉัยและการรักษานั้น ทำได้ไม่ง่าย และมีค่าใช้จ่าย ที่สำคัญที่สุดคือ เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตม้าได้เลยทีเดียว


เราเลือกได้ว่าจะหยิบยื่นสิ่งใดให้กับม้า เพราะชีวิตม้าก็อยู่ในมือของคุณเอง.....

ที่มา: เว็บไซต์โรงพยาบาลม้าโคราช www.thehorsepital.com

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ธุรกิจที่อยู่บนความรัก หมอต้องเข้าใจ....

ฮัลโหลหมอ ว่างมั้ย มาเอ๊กซเรย์ม้าให้หน่อย................

บทสนทนาชุดที่ 1

>>>สวัสดีครับ เดี่ยวผมขอซักประวัติก่อนนะครับ ม้าตัวนี้เจ็บมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ.......


ก็เป็นมาหลายเดือนแล้วนะหมอ ตอนนั้นเจ็บครั้งนึงแล้วก็รักษาหายแล้ว เดินดี ทรอทดี เอาไปปล่อยก็ไม่มีอาการอะไร พอเอาไปแข่งก็วิ่งไม่ออกซะงั้นอ่ะ หมอช่วยเอ๊กซเรย์ให้หน่อย ว่ากระดูกมันเป็นไง แตกมั้ย

เมื่อหันไปดูที่ตัวม้าก็พบว่าเข่า (Carpus) บวมเป่ง และมีรอบแผลเป็นรอยค่อนข้างใหญ่อยู่กลางเข่า....

>>>ที่เจ็บครั้งแรกรักษาอย่างไรบ้างครับ......

ก็ตอนนั้นไปแข่งมา มันเจ็บ แล้วก็เลยฉีดยาแก้ปวดให้ไป มันก็เดินดี แต่เข่ามันไม่ยุบสักที ก็เลยเกลื่อนไป น้ำเหลืองมันก็ไหลออกมาหมดแล้วนะหมอ จากนั้นก็เดินดีไม่เจ็บ ไม่ค่อยบวม

>>>เอ่ออออ........ ที่เกลื่อนแล้วมีน้ำเหลืองไหลออกมานี่มันมาจากแผลนะครับ เหมือนคนเราเป็นแผลแล้วมีน้ำเหลืองน่ะครับ แต่ที่มันบวมเนี่ย มันบวมอยู่ในข้อเข่านะครับ เกิดจากการบาดเจ็บภายใน เกิดการอักเสบ............บลาๆๆๆๆๆๆๆๆ (เจ้าของม้าหันไปมองทางอื่น)

>>>แล้วที่ว่าม้าหายเจ็บเนี่ย หลังเกลื่อนนี่พักกี่เดือนครับ..........................

โอ้ย ผมพักนานเลยหมอ เกือบหกเดือนแหละ แผลมันหายถึงเอาไปซ้อม

>>> คราวหน้าลองพักม้าแบบที่ไม่ต้องเกลื่อนนะครับ หายเจ็บเหมือนกัน

........................... เหรอ อืมมมมมมม แต่นั่นมันผ่านมาแล้วช่างมันเถอะหมอ เนี่ยหมอดูให้หน่อย ตอนนั้นมันหายแล้ว แล้วทำไมถึงเจ็บอีก

>>> ตอนนั้นได้เรียกหมอที่ไหนเข้าไปตรวจมั้ยครับ.......

ก็ไม่ได้เรียกนะหมอ รักษาเองแล้วมันหายเจ็บแล้วไงตอนนั้น................

>>> จากประวัตินะครับ ม้าตัวนี้อาจจะกระดูกแตกมาก่อนหน้านี้ พอหยุดพักด้วยเวลาขนาดนั้น ร่วมกับการให้ยาด้วย ม้าตัวนี้จะหายเจ็บแน่นอนครับ แต่ที่กลับมาเจ็บอีกเพราะเราเอามาใช้งาน ที่บอกว่าเอาไปซ้อมแล้วไม่เป็นอะไร การซ้อมกับการแข่งนั้น น้ำหนักที่กดลงบนเข่าแตกต่างกันครับ อาจทำให้เกิดการแตกซ้ำได้ แต่เดี๋ยวผมจะตรวจให้นะครับ และคอนเฟิร์มจาก X-ray

โอเคๆ หมอลองตรวจให้หน่อยละกันว่าเป็นยังไง

(ขอกด FFW รัวๆๆๆๆ .......... )

บทสนทนาชุดที่2 (เมื่อล้างฟิล์มเสร็จ)

>>> จากฟิล์มนะครับ จะเห็นว่ากระดูกแตกออกมาเป็นชิ้นใหญ่ เรียกว่าเป็น Slab fracture (อธิบายพร้อมชีี้ให้เจ้าของดู) และมีแคลเซียมมาเกาะบริเวณนั้นเต็มไปหมด และมีเศษกระดูกแตกชิ้นเล็กๆ (Chip fracture) อีกหลายชิ้นด้วยครับ

โห แตกเยอะเลยใช่มั้ยหมอ แล้วอย่างงี้เราทำยังไงได้บ้างเนี่ย

>>> ในกรณีที่กระดูกแตกชิ้นใหญ่ และเป็นลักษณะนี้สิ่งที่เราทำได้คือผ่าตัดเพื่อใส่น๊อตครับ แต่สำหรับตัวนี้ ไม่สามารถทำได้ เพราะถ้าจะใส่น๊อต...

ผมไม่ใส่น๊อตหรอกหมอ ไม่เอาอ่ะ!!!!

>>> ใส่ไม่ได้อยู่แล้วครับ เพราะถ้าจะใส่ต้องหลังจากที่เกิดการบาดเจ็บมาไม่เกินสามสัปดาห์ครับ

อืมมม แล้วนี่เราจะทำยังไง เราจะผ่าได้มั้ย ดูดเอาพวกฝุ่นๆ เนี่ยออก ส่วนไอ้ชิ้นใหญ่เนี่ยก็เอาไว้เงี้ยแหละ ทำอะไรไม่ได้นี่ เดี๋ยวแคลเซียมมาพอกมันก็โอเคแล้วมั้ง ใช่มั้ยหมอ

>>> โอเคครับ ถ้าไม่เอากลับไปแข่งอีก เพราะถ้าแข่งอีกก็เจ็บอีกครับ

แต่ผมรักมันนะหมอ ผมซื้อมาแสนหก นี่มันทำเงินให้ผมแปดแสนแล้วเนี่ย ผมจะเอามันไปปล่อยได้ไง

>>> ไม่ต้องปล่อยก็ได้ครับ แต่ก็เลี้ยงไว้ แต่ไม่ควรนำไปเป็นม้าแข่งอีกครับ

อืมมมมม แล้วนี่ผมควรทำไง ผมก็รักมันนะ นี่ถ้ามันไม่เจ็บอีก ซ้อมได้อะไรได้ ผมก็คงเอาไปแข่งอีกแหละ ให้มันได้วิ่ง

>>> เอางี้นะครับ ที่ผมได้เรียนให้ทราบไปคือสิ่งทีผมตรวจเจอ และเป็นความเห็นของผมครับ ผมวินิจฉัย และให้คำแนะนำในทางสัตวแพทย์ไปแล้ว ผมพอเข้าใจว่าเรามองต่างกัน เพราะผมมองในเรื่องของ สวัสดิภาพสัตว์ สำหรับม้าตัวนี้ถ้าเอาไปแข่งอีกก็ทรมานครับ แต่เจ้าของอาจจะมองในแง่ธุรกิ........

แต่ผมก็เป็นธุรกิจที่อยู่บนความรักด้วย หมอต้องเข้าใจ (สวนกลับมาภายใน 0.0001 วินาที)

>>> อ๋อ ครับ เข้าใจครับ แต่ความเห็นผมคือม้าตัวนี้สมควรปลดจากการเป็นม้าแข่งครับ แต่คุณเจ้าของมองในมุมของคนรักม้า ถ้าม้าไม่เจ็บแล้วก็จะเอามาวิ่งอีกสินะครับ อันนี้ผมตัดสินใจแทนเจ้าของไม่ได้ครับ แต่ถ้าเจ้าของเห็นสมควรผมก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามอยู่แล้วครับ

อืมมม นั่นแหละหมอ หมอเข้าใจผมนะ ผมรักมัน อยากให้มันได้วิ่งอีก........

.
.
.
.
.
.
.

ถ้าเปรียบเป็นการ์ตูน วันนั้นก็มีอีกาบินผ่านเป็นฝูง และผมก็แดกจุดไปแล้วเป็นกะละมัง

ม้าเทศ สิ่งมีชีวิตที่มีค่าแค่กระดาษทิชชู่


รู้จักอาจารย์ยิ่งศักดิ์กันใช่มั้ยครับ 

เวลาแกทำอาหารแกมักจะมีประโยคติดปาก
“มีอะไรก็ใส่ๆ มันลงไป  กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็ทิ้งมันไป”  (จีบปากจีบคอเล็กน้อยถึงปานกลาง)

ในวงการม้าก็มีคนที่คิดแบบนี้เหมือนกันครับ
"ม้าพวกนี้ซื้อมาก็วิ่งได้เลยนะหมอ วิ่งครั้งเดียวมันก็คุ้มแล้ว ซื้อมาแสนนึง วิ่งทีนึงได้ก็คุ้มแล้ว ตายก็ตายไป"

นี่คือสิ่งที่เจ้าของม้าส่วนใหญ่พูดกันเป็นปกติเมื่อกล่าวถึง สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ม้าเทศ" 


ม้าเทศ ในที่นี่คืออะไร? สำหรับคนที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับวงการม้าคงจะไม่ชินกับชื่อนี้
ม้าเทศในที่นี้ก็คือม้าปกตินี่แหละครับ แค่เป็นม้าแข่งที่เอามาจากต่างประเทศ ก็เลยเรียกม้าเทศ 
ม้าเทศ เป็นม้าที่ราคาถูก เป็นม้าแข่งจากประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นต้น
ม้าเหล่านี้มักจะเป็นม้าที่เจ็บมาเยอะ เจอมาเยอะ ผ่านสนามแข่งมาแล้วอย่างโชกโชน จนทางต่างประเทศเห็นแล้วว่าควรปลดประจำการ แขวนเกือกเพื่อหยุดพัก

ทีนี้ปลดแล้วจะเอาไปไหน?



เส้นทางระบายม้าแหล่งใหม่ของทางต่างประเทศก็คือประเทศไทยของเรานี่เองครับ

เทรนเนอร์และเจ้าของม้าหลายคนซื้อม้าเหล่านี้มาด้วยค่าตัวที่เรียกกันว่า “พอสู้ราคาไหว”ซื้อเข้ามาเพื่อเอามาแข่งต่อ

.
.
.
นึกภาพตามนะครับ
นักกีฬาที่ทำงานอย่างหนักมาตลอดชีวิต คิดว่าจะได้มาหยุดพักในบั้นปลาย นึกว่าจะได้ไปนั่งพักสบายๆ จิบเบียร์เย็นๆ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ แต่กลับต้องมาทำงานเหมือนเดิม หรืออาจจะหนักกว่าเดิม

. . .

โดยส่วนตัวผมเอง ได้มีโอกาสตรวจม้าที่เรียกกันว่าม้าเทศนี้มาไม่น้อย

“หมอว่างมั้ย มาดูม้าให้ผมหน่อย ไปวิ่งมาแล้วก็เจ็บเนี่ย”

“หมอๆ ว่างเมื่อไหร่ ผมเพิ่งได้ม้ามา ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย เดินไม่ค่อยดีเลย”


พอได้เห็นม้า...... สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้มันคืออะไร........

ข้อที่บวมตุ่ย เข่าที่บวมเป่ง ข้อเท้าที่ปกติเป็นข้อที่เคลื่อนไหวมากที่สุดในร่างกายม้า กลับเคลื่อนไหวไม่ได้แม้แต่น้อย ม้าบางตัวแค่เดินก็เจ็บแล้ว บางตัวเคยได้รับการผ่าตัดแล้วนำกลับไปแข่ง จนเจ็บซ้ำอีกรอบแล้วถึงจะโดนขายต่อมาก็มี 

เจ้าของม้าส่วนใหญ่ (ไม่ได้หมายถึงทั้งหมดนะครับ แค่ส่วนใหญ่เท่านั้นเอง) พอซื้อม้ามาแล้ว ก็เอามาให้เทรนเนอร์จัดการ ให้ไปวิ่งแข่งได้ ให้ไปวิ่งด้วยความรักอันมากมายเหลือล้นพ้นฟ้ามหาสมุทร 

เพราะถ้าวิ่งได้ ก็หมายถึงเงิน.............. ตายก็ตายไป



ไม่ต่างอะไรกับทิชชู่

พอใช้เสร็จแล้วก็ทิ้งๆ มันไป เดี๋ยวก็หาใหม่ได้ ไม่แพงด้วย…………





วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Everybody’s a doctor

ผมมีโอกาสได้ดูซีรีย์เรื่อง House มีคำกล่าวนึงที่คุณหมอในเรื่องได้กล่าวพร้อมทำตากลอกไปมาอย่างเหนื่อยใจว่า

Everybody’s a doctor 

เมื่อพิจารณาดูแล้วก็พบว่าจริง คนเราพยายามที่จะรักษาตัวเอง รวมถึงคนใกล้ตัว อาจเพราะว่าเคยเป็นมาก่อน หรืออ่านเจอมาในอินเตอร์เน็ต บางคนเวลาจะไปพบหมอหาข้อมูลเอาไว้เสร็จสรรพจะได้เถียงหมอก็มี

นี่ขนาดคนนะครับ นับประสาอะไรกับสัตว์ที่ไม่มีปากมีเสียง เจ้าของกรอกอะไร ฉีดอะไรก็คงไ
ด้แต่ร้องเพลงคลอไปว่า ฉันจะรับไว้เอง

หลายคนอาจจะคิดว่า หมอกลัวคนที่รู้มาก คนที่รู้ทันหมอว่าหมอจะทำอะไร อยากจะบอกดังๆ (ขนาดป้องปากตะโกน) ว่า ไม่ใช่ครับ

คนที่รู้ครึ่งๆกลางๆ ต่างหากที่น่ากลัวที่สุดสำหรับหมอ เพราะคนจำพวกนี้ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตัวเองรู้นั้นมันไม่ใช่ทั้งหมด ปัญหาคือจะทำยังไงให้คนที่ไม่รู้หรือคิดว่าตัวเองรู้ได้รู้ว่าตัวเองไม่รู้หรือรู้ไม่จริง (งงมั้ยครับ)

คนเหล่านี้พบได้มากมายในวงการม้า โดยมีประโยคเด็ดที่ว่า ผมอยู่กับม้ามาตั้งแต่เด็ก ผมเห็นมาเยอะ ผมเจอมาเยอะ หมอจะมารู้มากกว่าผมได้ไง นี่ผมก็เรียนมาเหมือนกัน ของผมภาคปฏิบัติ ของหมอมันภาคทฤษฎี” (ยักคิ้วใส่หมอสองที)

คนจำพวกนี้มักจะเป็นกลุ่มคนที่เรียกกันว่า น้ำเต็มแก้ว บางคนเต็มซะจนล้นแล้วก็ยังพยายามไปยัดใส่ไว้ในแก้วคนอื่นด้วย คนจำพวกนี้เชื่อมันอย่างเต็มที่ว่าสิ่งที่ตัวเองรู้นั้นมันถูกแล้ว คำถามคือ จริงหรือ?

บางครั้งหมอพยายามอธิบายเท่าไหร่ ก็บอกว่าไม่ใช่หรอกหมอทฤษฎีกับปฏิบัติมันไม่เหมือนกัน ทฤษฎีมันเป็นแบบนั้น แต่ที่เจอเนี่ยมันไม่ใช่นะหมอมันเป็นแบบนี้…. %$#!$%^&*(&*^* (ขอปิดประสาทรับรู้ส่วนการฟัง)

ยอมรับครับว่าที่หมอเรียนมามันคือทฤษฎี ไม่เถียงสักคำเลยทีเดียว แต่คำถามคือทำไมเราต้องนั่งเรียนทฤษฎีกันหลังขดหลังแข็งขนาดนั้น คำตอบง่ายๆ คือ ถ้าทฤษฎีคุณยังไม่รู้ คุณจะไปปฏิบัติได้อย่างไร

ถ้าหมอเป็นคนที่เจออะไรแล้วก็ทำเลย โดยที่ไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี หรือให้ยาโดยแค่รู้เพียงด้านดีของมัน ลองผิดลองถูกในการให้ยาไปเรื่อยๆ แบบนั้นผมไม่เรียกว่าหมอครับ เพราะผลเสียที่เกิดขึ้นมันเกิดกับม้า ซึ่งเป็นชีวิตหนึ่งชีวิต

สัตวแพทย์ทุกคนมีเป้าหมายง่ายๆครับ คือ เมื่อสัตว์ป่วย จะทำอย่างไรให้สัตว์หายเจ็บป่วย และป้องกันไม่ให้กลับมาป่วยซ้ำอีก

แล้วอะไรทำให้การรักษานั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี.......

สิ่งนั้นคือ การวินิจฉัยหากยังไม่รู้ว่าสัตว์เป็นอะไร หรือหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ ไม่มีสัตวแพทย์คนไหน ลองให้ยาไปก่อนแน่ๆ เพราะยาทุกชนิดไม่ได้มีแต่ประโยชน์

ยาก็คือสารเคมีชนิดหนึ่ง ที่มีฤทธิ์ที่มีประโยชน์ แต่ในทางกลับกันหากใช้ผิดวิธีก็ก่อให้เกิดโทษอย่างมหันต์




ยกตัวอย่างนะครับ

ยาตัวหนึ่งเป็นยาที่นิยมใช้กันมากในวงการม้า สมมตินะครับว่าชื่อยา ACE และสมมติต่ออีกนิดนึงว่าเป็นยาที่มีสีเหลือง และสมมติว่าคนในวงการม้า(ที่ไม่ใช่หมอ) เรียกกันว่า ยาซึม

ประเด็นแรก ACE คืออะไร?

ในทางสัตวแพทย์ยาที่ผมสมมติชื่อว่า ACE นี้อยู่ในกลุ่ม Tranquilizer หรือภาษาไทยเรียกว่ายากลุ่มที่ออกฤทธิ์ระงับประสาท (เรียกยาซึมมันกว้างไป) ผลดีของมันก็คือจะทำให้ม้าลดอาการตื่นตระหนก ตกใจกลัว ทำให้ม้านิ่งขึ้น

ประเด็นที่สอง ยิ่งฉีดเยอะก็ยิ่งซึมมาก......................จริงหรือ???

ขอใช้เครื่องหมายคำถามสามตัวซ้อนกันถึงมันจะผิดหลักภาษาไทย
คำตอบคือจริงครับ ยิ่งฉีดเยอะยิ่งซึม แต่คำถามต่อมาคือที่ว่าฉีดเยอะเนี่ย มันคือเท่าไหร่กัน?? (ขอใช้เครื่องหมายคำถามอีกสองตัว)

เห็นปัญหาแล้วใช่มั้ยครับ ว่าเยอะของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน แล้วทีนี้จะทำยังไงกันดี?

ประเด็นที่สาม ถ้าฉีดเยอะเกินไป จะเป็นอะไรมั้ย??

คำถามนี้ผมถามเองครับ มีใครตอบผมได้บ้าง ขอมือหน่อยยยยยยยยย...................... เงียบ สงสัยไม่เก็ต

คำตอบนึงที่ได้ยินมาบ่อยๆ คือ ไม่เห็นเป็นไรเลยหมอ (สำหรับคำตอบนี้ขอหลบมุมไปกรี๊ดสักสองที อ๊ากกกกก)

สำหรับสัตวแพทย์เราก่อนจะใช้ยาแต่ละตัว สิ่งที่ต้องทราบก่อนว่ายาตัวนั้นคือยาอะไร ขนาดยาเท่าใด ผลข้างเคียงคืออะไร ต้องให้ทุกกี่ชั่วโมง ต้องให้ทางไหน ถ้าตอบคำถามพวกนี้ไม่ได้ ก็ไม่ควรใช้ยาตัวนั้นๆ ครับ

สำหรับ ACE ผลเสียคืออะไร ขนาดยาคือเท่าไหร่................................. ตอบครับ

ผลข้างเคียงหลักๆคือ ทำให้ความดันต่ำอย่างเฉียบพลัน

คำถามต่อไปคือ ความดันต่ำแล้วทำให้เกิดอะไร?...........ตอบครับ

ตอบได้มั้ย ผมให้เวลาอีกสองวิ........................... หมดเวลาครับ

คำถามต่อไป ขนาดยาคือเท่าไหร่

ได้ยินเสียงตอบกลับมาทันที 1-2 ซีซี ไงล่ะ...............................

แอด แอดดดดดดดด
ผิดครับ!!!!

ถ้าใครตอบขนาดยาเป็นหน่วยนี้ก็ไม่ใช่แล้วครับ ยาที่ผมสมมติชื่อว่า ACE นี้มันต้องคำนวณเป็นมิลลิกรัมต่อกิโลกรัมครับ คำนวณอย่างไรนั้น เรื่องมันยาวครับ ขี้เกียจพิมพ์

ลองย้อนกลับไปดูนะครับว่าแค่ยาตัวนี้ตัวเดียว เจอเครื่องหมายคำถามกันไปคนละกี่อันครับ.....

ตัวอย่างนี้ชัดเจนพอมั้ยครับ ว่าทำไมคุณถึงต้องรู้ทฤษฎี คุณถึงจะปฎิบัติได้อย่างถูกต้อง.............

แล้วจะบอกว่าทฤษฎีกับปฏิบัติไม่เหมือนกันอีกมั้ยครับ?
.
.
.
.
.
ก็คงบอกว่าต่างเหมือนเดิมสินะ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก็ปฏิบัติกันไปด้วยความไม่รู้อยู่แล้วนี่ครับ

.
.
.
จบนะ