วันนี้ได้เจอเจ้าของม้าที่พูดติดตลกว่า “เป็นหมอเนี่ยลำบากนะ เรียนมาตั้งเยอะ ต้องมานั่งจมกองเยี่ยว กองขี้เนี่ยเนอะหมอ ถ้าผมมีลูกมีหลานนะไม่เอาอ่ะ ไม่ให้เรียนหรอก เรียนอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่สายแพทย์ ลำบากเกินไป”
ผมก็ได้แต่หัวเราะ เพราะมันก็จริงของแกนะ แต่หลักจากออกมาจากคอกม้าก็มาคิดว่า ทำไมผมถึงมาเป็นหมอม้า(วะ)
อืมมมมม นั่นสิ แรกเริ่มเดิมทีตอนที่เป็นนักศึกษาสัตวแพทย์ปีต้นๆ ผมไม่เคยสนใจม้าเลย เรียกว่าความสนใจเท่ากับศูนย์ เพราะตอนนั้นคิดว่าม้าเป็นสัตว์ที่เลี้ยงโดยคนที่มีเงิน คนที่ซื้อม้าได้น่าจะเป็นคนที่มีกำลังทรัพย์ที่พร้อมจะดูแลชีวิต และสุขภาพม้าได้ เพราะม้าไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มปศุสัตว์เช่นเดียวกับวัว ควาย เกษตรกรประเทศเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลี้ยงม้าเพื่อขายเนื้อ หรือรีดนม เรียกว่าไม่ได้เลี้ยงเพื่อการดำรงชีพ แต่เลี้ยงเพื่อความสบายใจเหมือนคนเลี้ยงหมาแมวนั่นแหละ เพราะฉะนั้นถ้าคนที่ไม่มีเงินเหลือแล้วคิดจะเลี้ยงม้าก็ไม่ใช่เรื่องสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากค่าตัวม้าที่สูงแล้ว ค่าใช้จ่ายในการดูแลม้าต่อเดือนก็ค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน
นี่คือสิ่งที่ผมคิดตอนที่เป็นนักศึกษาคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
สาเหตุที่ทำให้ผมคิดเช่นนั้นก็คือ การออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท แล้วได้เห็นชีวิตการเป็นอยู่ของชาวบ้านเกษตรกรที่เลี้ยงวัว เลี้ยงแพะ ซึ่งเลี้ยงเอาเนื้อไม่ก็นม ทำเป็นอาชีพ ซึ่งเค้าขาดแคลนความรู้ ความเข้าใจในการจัดการ การดูแลที่เหมาะสม ทำให้ผลผลิตที่ออกมาไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรไม่มีการพัฒนาอย่างที่ควร และการเลี้ยงปศุสัตว์ก็ยังไม่ได้ประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้แล้ว ผมนี่แหละที่จะเป็นคนที่จะมาออกมาช่วยพวกท่านเองงงงงงงง
จำได้ว่าความคิดตอนนั้นยิ่งใหญ่มาก อุดมการณ์มาก มองหน้าชาวบ้าน มองหน้าวัวที่เค้าเลี้ยง แล้วก็ปฏิญานกับตัวเองไว้แบบนั้น
จนกระทั่งตอนอยู่ปี 5 ได้เริ่มฝึกปฏิบัติทางคลินิก ได้ฝึกงานเกี่ยวกับม้า ได้มาเจอม้าตัวเป็นๆ ก็รู้สึกว่า แล้วไงวะ เอ็งก็ดูสบายดีนี่ แล้วเอ็งก็ดูเหมือนจะเตะทุกคนรอบตัวตลอดเวลา นิสัยแบบนี้ไม่เอาด้วยหรอก ทำอะไรก็ต้องบิดจมูก ต้องคอยระวังว่าจะเตะ จะกัด ดูเป็นสิ่งมีชีวิตที่คาดเดาไม่ได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็โอเค ตามหลักสูตรต้องเรียนทุกประเภทสัตว์ ก็เรียนไป ก็ปฏิบัติไป ชอบมั้ย ก็ไม่นะ ก็งั้นๆ แหละ
ช่วงนั้นจับม้าก็จับด้วยกำลัง มีแรงก็ดึงไว้ จะเข้าหาม้าก็กล้าๆ กลัวๆ อาศัยความคล่องตัวสมัยที่เคยออกค่าย ออกฝึกงานวัว เอามาใช้กับม้าแทน ก็พอรอดไปได้บ้าง จนในที่สุดก็มีม้าตัวนึงเข้ามาที่คณะเพื่อที่จะนำมาเป็นม้าการเรียนการสอนเกี่ยวกับเรื่องระบบทางเดินอาหาร ซึ่งหมายความว่านำมาเป็นอาจารย์ใหญ่นั่นเอง เนื่องจากเป็นม้าเจ็บหนักที่ไม่สามารถรักษาได้ แต่พอได้เจอเท่านั้นแหละ ไหนวะที่ว่าเจ็บหนัก ม้าผอมนะแต่ก็เออ มันก็ไม่ได้ผอมไปกว่าวัวที่เคยเห็นนี่หว่า ทีเห็นเจ็บก็มีแต่ตรงขานี่ ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆ ครับ
จนกระทั่งได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดกับม้าตัวนี้ มันเกิดจากความปล่อยปละละเลยไม่มีการดูแลที่ดีพอ จนทำให้กีบเน่าเละเทะ ส่งกลิ่นเหม็น และทำให้ม้าตัวนี้เจ็บปวดทรมาน
จังหวะนั้น งงครับ
ม้าเนี่ยนะเกิดปัญหาจากการที่คนไม่ดูแล เฮ้ย มันสวนทางกับสิ่งที่คิดเลยนะ ม้าเนี่ยตัวนึงตั้งแพง คนต้องดูแลดีสิ คนเลี้ยงเพื่อความสบายใจนะ เพราะเค้าชอบนะ ถึงเลี้ยงไว้ขี่ก็ต้องดูแลป่ะวะ แล้วนี่ปล่อยให้เป็นขนาดนี้เนี่ยนะ บ้าไปแล้ว และแค่ไม่ได้ดูแลนี่ทำให้กีบเน่าขนาดนี้เลยเหรอ เป็นไปได้เหรอ วัว ควาย นอนแช่ปลัก เหยียบขี้เละเทะทั้งปีทั้งชาติมันยังไม่ค่อยเป็นอะไรเลย ม้าก็ไม่น่าจะต่างกัน แต่ไหงเละขนาดนี้
สับสนมากครั้บตอนนั้น สิ่งที่เคยตั้งใจมานี่มันถูกต้องมั้ยเนี่ย การที่เราคิดว่าจะจบออกมาเพื่อช่วยคน มันไม่ใช่เรื่องผิดแน่ๆ ล่ะ แต่ช่วยคนแล้วยังไงต่อ คุณภาพชีวิตสัตว์มันจะเป็นยังไง มันจะดีขึ้นมั้ย หรือว่าแค่ช่วยให้คนได้เงินมากขึ้นเท่านั้นเหรอ?
แล้วใครจะยืนข้างสัตว์ล่ะ?
ก็กลับมาคิดว่างานที่เราจะทำเนี่ยมันสร้างอะไรให้กับโลกใบนี้ หรืออย่างน้อยมันสร้างอะไรให้กับโลกของสัตว์สักตัวนึงได้มั้ย เพราะถึงยังไงเราก็เป็นสัตวแพทย์ แพทย์ที่รักษาสัตว์ ยืนเคียงข้างสัตว์ ถ้ามีอะไรที่พอจะทำได้พอจะช่วยได้ ก็อยากจะทำอยากจะช่วย สัตว์อื่นๆ มีคนทำเยอะแล้ว มีคนช่วยเยอะแล้ว แต่ม้าเนี่ย หมอม้าในประเทศเรามีน้อยนะ สิ่งที่คนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับม้าก็ยังมีอีกเยอะ ปัญหาสุขภาพของม้าที่เกิดจากคน (ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะทำให้เกิด) ก็ยังมีมาก
เพราะฉะนั้น หมอม้าคือคำตอบสุดท้าย
หลังจากนั้นก็เลือกที่จะฝึกงานม้าอย่างเดียว จนในที่สุดก็มาเป็นหมอม้า และได้รู้ว่าเวลาที่อยู่กับม้ามันเป็นเวลาที่พิเศษเพียงใด ม้าเป็นสัตว์ใหญ่ที่เราสามารถจับได้ จูงได้ ลูบคลำได้ แสนรู้ไปหมด (ถ้าเราเข้าใจมัน) และที่สำคัญความรู้สึกตอนที่อยู่กับม้าตามลำพังนั้น มันทำให้เราสงบ
มันรู้สึกว่าปัญหาไม่ว่าใหญ่แค่ไหนมันก็เข้ามาแล้วก็ผ่านไป
“เครียดเหรอ เหนื่อยเหรอ ท้อเหรอ แต่มันก็ชีวิตนะ เกิดมาแล้วก็ใช้ชีวิตไปสิ จะไปคิดมากทำไม” เหมือนม้าหลายๆ ตัวจะบอกแบบนั้น ม้าไม่ได้พูดหรอกครับ แต่ม้ากระซิบบอกผ่านการกระทำ ผ่านวิถีชีวิตของตัวมันเอง ม้ามีชีวิตที่เรียบง่ายถ้าเราเข้าใจมันมากพอ กิน ขี้ ปี้ นอน ทำงาน เจ็บป่วยก็พัก ถ้าหนักหน่อยก็หาหมอ ถ้าไม่ไหวก็บ๊ายบายจากโลกนี้ไป
ชีวิตมันก็เท่านั้นเองครับ
ทุกวันนี้ยังมีแรง ยังมีพลังก็ทำต่อไป ทำเท่าที่ทำได้นี่แหละ วันไหนที่หมดพลัง ผมก็คงต้องบ๊ายบายจากโลกของการเป็นหมอม้าเช่นกัน
เพราะชีวิตมันก็เท่านั้นเองครับ ;)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น