"ผมเป็นหมอม้าครับ"
นั่นคือสิ่งที่พี่ตอบเวลาคนถามว่าเป็นอะไร ทำอะไร คำตอบนี้มักจะได้รับ feed back กลับมาด้วยสีหน้าที่แปลกใจปนสงสัยเล็กน้อย จนหลายๆ ครั้งต้องบอกว่า "ผมรักษาม้าอย่างเดียวครับ ม้าตัวใหญ่ๆ อ่ะครับ" สีหน้าของคู่สนทนาค่อยคลายความแปลกใจลงไปได้บ้าง
นั่นคือสิ่งที่พี่ตอบเวลาคนถามว่าเป็นอะไร ทำอะไร คำตอบนี้มักจะได้รับ feed back กลับมาด้วยสีหน้าที่แปลกใจปนสงสัยเล็กน้อย จนหลายๆ ครั้งต้องบอกว่า "ผมรักษาม้าอย่างเดียวครับ ม้าตัวใหญ่ๆ อ่ะครับ" สีหน้าของคู่สนทนาค่อยคลายความแปลกใจลงไปได้บ้าง
ม้า อาจจะไม่เป็นสัตว์ที่หลายคนคุ้นเคย ม้า ดูตัวใหญ่และน่ากลัวสำหรับบางคน แต่แท้จริงแล้ว ม้า เป็นสัตว์ที่เปราะบางมาก และคนเลี้ยงม้าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เข้าใจม้าอย่างที่มันเป็น แค่เลี้ยงอย่างที่ตัวเองพอใจเท่านั้น ปัญหาที่เกิดกับม้าส่วนใหญ่จึงเป็นปัญหาที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งนั้น
เป็นแบบนั้นจริงหรือ?
ตามธรรมชาติม้าจะอยู่เป็นฝูงในที่โล่งแจ้ง เดินและกินและกินและเดิน แทะเล็มหญ้าตลอดวัน เวลาพักก็มักจะยืนหลับ และต้องการการลงนอนหลับสนิทเพียง 15 นาทีต่อวัน แต่มนุษย์เราจะเลี้ยงม้าในคอก บ้างก็ผูกเชือกไว้ ปล่อยแปลงก็มีพื้นที่จำกัด และมักจะเลี้ยงแบบขังเดี่ยว ไม่มีเพื่อนหรือฝูง และขาดอาหารแทะเล็มตลอดเวลา ไม่แปลกเลยที่ม้าจะเบื่อ เครียด รู้สึกไม่ปลอดภัย บางตัวก็สูบลม กัดแทะไม้ เดินวนในคอก ยืนโยกทั้งวัน บางตัวถึงขนาดกินขี้ตัวเองก็มี!
ตามธรรมชาติม้าจะอยู่เป็นฝูงในที่โล่งแจ้ง เดินและกินและกินและเดิน แทะเล็มหญ้าตลอดวัน เวลาพักก็มักจะยืนหลับ และต้องการการลงนอนหลับสนิทเพียง 15 นาทีต่อวัน แต่มนุษย์เราจะเลี้ยงม้าในคอก บ้างก็ผูกเชือกไว้ ปล่อยแปลงก็มีพื้นที่จำกัด และมักจะเลี้ยงแบบขังเดี่ยว ไม่มีเพื่อนหรือฝูง และขาดอาหารแทะเล็มตลอดเวลา ไม่แปลกเลยที่ม้าจะเบื่อ เครียด รู้สึกไม่ปลอดภัย บางตัวก็สูบลม กัดแทะไม้ เดินวนในคอก ยืนโยกทั้งวัน บางตัวถึงขนาดกินขี้ตัวเองก็มี!
ม้าตามธรรมชาติในประเทศไทยก็มีแค่ทางภาคเหนือ ด้วยเหตุผลเรื่องสภาพแวดล้อม สภาพภูมิอากาศ ม้าส่วนใหญ่ในประเทศเป็นม้านำเข้า และม้าไม่สามารถปรับตัวได้เพียงระยะเวลาไม่กี่สิบปี การวิวัฒนาการใช้เวลานานกว่านั้นมากนัก ด้วยเหตุนี้ การให้อาหารเสริมเช่น แร่ธาตุ แคลเซียม และอิเล็กโตรไลท์จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากม้าขาดสิ่งเหล่านี้ก็จะมีปัญหาสุขภาพ ได้แก่ ปัญหาการเจริญพัฒนาของโครงสร้างของลูกม้า ปัญหาโรคกระดูกพรุน ปัญหาเรื่องการขับเหงื่อเพื่อการระบายความร้อน
การเลี้ยงม้าขังคอกก็สร้างปัญหามาก เพราะเมื่อม้าได้เดินน้อย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการเคลื่อนที่ของลำไส้ก็จะลดลง กระเพาะม้าเล็กมากเมื่อเทียบกับตัวม้า และตามธรรมชาติม้าใช้กระบวนการหมักโดยใช้แบคทีเรียในลำไส้ เพื่อเปลี่ยนหญ้า หรือคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนให้เป็นพลังงาน ลำไส้ม้าไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (ทีได้จากอาหารเม็ด) ในปริมาณมากๆ เป็นมื้อๆ คนเลี้ยงม้ามักจะเข้าใจผิดว่าอาหารเม็ดเป็นอาหารหลักและหญ้าเป็นเพียงอาหารเสริม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วหญ้าควรจะเป็นอาหารหลัก และอาหารเม็ดคืออาหารเสริม
บางครั้งก็ปล่อยม้าในแปลงปล่อยที่มีแต่ทรายโดยไม่มีหญ้าและน้ำให้ และยังให้อาหารเม็ดในแปลงนั้นอีก เมื่ออาหารเม็ดตกลงพื้นม้าก็เก็บกิน ก็มักจะกินทรายเข้าไปด้วย ปัจจัยข้างต้นนี้ล้วนแต่โน้มนำให้เกิดโรคทางเดินอาหารในม้า
การให้อาหารเม็ดในปริมาณมาก กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กก็จะย่อยไม่ทัน เมื่อตกลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ก็จะทำให้ความเป็นกรดในลำไส้สูงขึ้น สมดุลย์ของแบคทีเรียในลำไส้ก็เสียไป แบคทีเรียตายก็ปล่อยสารพิษออกมา รวมทั้งแบคทีเรียก่อโรคก็จะเจริญมากผิดปกติอีกด้วย กรดและสารพิษก็จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด เมื่อไปที่กีบก็ส่งผลให้เกิดการอักเสบของกีบ ไปที่กล้ามเนื้อก็ทำให้มีของเสียสะสมและล้าง่าย เมื่อไปวิ่งก็จะทำให้ม้าไม่ค่อยมีกำลัง เสี่ยงต่อการบาดเจ็บตามมาอีก
นอกจากนี้การเลี้ยงม้าขังคอกก็จะทำให้ม้าต้องยืนดมขี้และฉี่ของตัวเอง(ซึ่งมีแอมโมเนียสูง) ตลอดทั้งวัน แถมยังติดพัดลมในคอกที่เป่าจากบนลงล่างซึ่งไม่ดีต่อการระบายอากาศ ทำให้เกิดปัญหาระบบทางเดินหายใจตามมา และการมีขี้ม้าในคอกมากๆ ก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ รวมถึงพยาธิ
ธรรมชาติของม้าคือผู้ถูกล่า อารมณ์หลักของม้าจึงเป็นความกลัว พฤติกรรมที่ม้าแสดงออกบางครั้งก็เป็นแค่การแสดงความกลัว ม้าพยายามบอกเราว่าเค้ากลัว แต่มักกลับโดนดุโดนตีโดนทำร้าย ผลที่ตามมาก็คือปัญหาเรื่องพฤติกรรม ซึ่งมันป้องกันและแก้ไขได้ ถ้าเข้าใจธรรมชาติของม้า
.......
พี่เล่าเรื่องม้าทำไม?
จริงครับที่พี่ค่ายฟ้าหม่นฯ เค้าบอกให้พี่ช่วยเขียนบทความแนะนำสายงานหมอม้า ประสบการณ์ทำงาน รวมถึงความสนุกในการทำงาน แต่พี่ขอโทษจริงๆ ไม่รู้จะเล่าอย่างไรให้หมดใน 1 หน้ากระดาษ A4 (นี่ก็ปาเข้าไปเกือบสองหน้า) เพราะมันเยอะเหลือเกิน พี่เลยคิดว่าถ้าเราเข้าใจว่าม้าในปัจจุบันมีปัญหาอะไรบ้าง สวัสดิภาพของม้าเป็นอย่างไร ก็น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพลางๆ ได้บ้างว่า ถ้าเราเรียนสัตวแพทย์และเลือกที่จะเป็นหมอม้า เราจะช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง
จริงครับที่พี่ค่ายฟ้าหม่นฯ เค้าบอกให้พี่ช่วยเขียนบทความแนะนำสายงานหมอม้า ประสบการณ์ทำงาน รวมถึงความสนุกในการทำงาน แต่พี่ขอโทษจริงๆ ไม่รู้จะเล่าอย่างไรให้หมดใน 1 หน้ากระดาษ A4 (นี่ก็ปาเข้าไปเกือบสองหน้า) เพราะมันเยอะเหลือเกิน พี่เลยคิดว่าถ้าเราเข้าใจว่าม้าในปัจจุบันมีปัญหาอะไรบ้าง สวัสดิภาพของม้าเป็นอย่างไร ก็น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพลางๆ ได้บ้างว่า ถ้าเราเรียนสัตวแพทย์และเลือกที่จะเป็นหมอม้า เราจะช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง
ปัญหาจะเป็นเพียงแค่ปัญหาถ้าเราไม่ลองมองมุมกลับปรับมุมมอง เพราะแท้จริงแล้วปัญหามาพร้อมโอกาสครับ
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับม้ายังมีอีกมากครับ เพราะฉะนั้นโอกาสที่เราจะเข้ามาเป็นหนึ่งในคนช่วยกันแก้ปัญหาเหล่านั้นก็มากด้วย
ถ้าโดนสะกิดต่อมอยากก็อย่ามัวนิ่งเฉยครับ เพราะเป้าหมายมีไว้พุ่งชน ;)
หมอฐา (thavet69)
บทความนี้สำหรับค่ายฟ้าหม่นคนดี (ค่ายแนะนำคณะสัตวแพทย์มหิดล) ครั้งที่ 7
1 ความคิดเห็น:
เขียนดีจังเลยค่ะ
แสดงความคิดเห็น