วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เงินดีๆ อยู่ที่ไหน

ช่วงนี้เป็นฤดูกาลหางาน และรับสมัครงานของหลายๆ ที่ เพราะใกล้เวลาที่เด็กๆ จะจบออกจากรั้วมหาวิทยาลัย หลังจากตรากตรำกันมาหลายปี

หลายๆ ที่รับสมัครคนเข้าทำงาน โดยเอาตัวเลขเงินเดือนมาล่อใจ แจก แถม สวัสดิการสารพัด
.
.
.
.
.

ทุนนิยมนี่มันทุนนิยมจริงๆ

.............

คำถามคือ เงิน คือทุกอย่างหรือไม่?

ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก
............

สำหรับคำถามนี่ก็แล้วแต่คนละกันครับ

แค่อยากจะฝากไว้นิดนึงว่า

งานสบาย เงินดี มันมีอยู่จริง แต่คุณก็ควรส่องกระจกดูว่าคุณคู่ควรหรือเปล่า

ขยันผิดที่ สิบปีก็ไม่รวย อันนี้ก็จริง

แต่มันขึ้นกับว่าคุณวัดค่าความรวยจนด้วยอะไร ความรู้ ความสุข เม็ดเงิน หรือการมองเห็นคุณค่าของตนเอง? ถ้ามันไปด้วยกันได้มันก็ดี แต่คุณทำได้มั้ย ก็เท่านั้นเอง

ถ้ามีที่ที่จ้างคุณด้วยเงินเดือนสูง สูงกว่าความสามารถของคุณ (ซึ่งคุณก็อาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ผมก็ไม่อาจรับรู้ได้) คุณต้องรีบพัฒนาตัวเองเพื่อให้ควรค่ากับสิ่งที่ได้รับนั้น ไม่งั้นวันนึงพอเค้ารู้ว่าคุณกลวง โดนเฉดหัวแน่ๆ

แต่ถ้าคุณทำทุกอย่างดีแล้ว พัฒนาตนเองจนถึงที่สุดแล้ว แต่สิ่งที่คุณได้รับกลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องอยู่ที่นั่นต่อนี่ครับ

แต่ถ้าสิ่งที่คุณได้รับมันเหมาะสมกับความสามารถของคุณ คุณก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับมากขึ้นในอนาคต ตามความสามารถของคุณ แต่ถ้าไม่มีอะไรพัฒนา ก็อย่าอยู่ผิดที่เลยครับ

สุดท้ายนี้ ดูตัวเองก่อนครับ ว่าตัวเองอยู่ ณ จุดไหน อะไรคือเป้าหมาย และจะทำอย่างไร เพื่อไปถึงจุดหมายนั้น..... ส่องกระจกดูตัวเองกันครับ

*ดูด้วยนะว่ากระจกเบี้ยวหรือเปล่า*

ถ้ารู้ตัวเองว่าไม่มีอะไร ก็อย่าอาจหาญไปเรียกร้องสิ่งใด จากใครเค้าเลย หน้าไม่อาย

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ผมเป็นหมอม้าครับ

"ผมเป็นหมอม้าครับ"
นั่นคือสิ่งที่พี่ตอบเวลาคนถามว่าเป็นอะไร ทำอะไร คำตอบนี้มักจะได้รับ feed back กลับมาด้วยสีหน้าที่แปลกใจปนสงสัยเล็กน้อย จนหลายๆ ครั้งต้องบอกว่า "ผมรักษาม้าอย่างเดียวครับ ม้าตัวใหญ่ๆ อ่ะครับ" สีหน้าของคู่สนทนาค่อยคลายความแปลกใจลงไปได้บ้าง

ม้า อาจจะไม่เป็นสัตว์ที่หลายคนคุ้นเคย ม้า ดูตัวใหญ่และน่ากลัวสำหรับบางคน แต่แท้จริงแล้ว ม้า เป็นสัตว์ที่เปราะบางมาก และคนเลี้ยงม้าส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เข้าใจม้าอย่างที่มันเป็น แค่เลี้ยงอย่างที่ตัวเองพอใจเท่านั้น ปัญหาที่เกิดกับม้าส่วนใหญ่จึงเป็นปัญหาที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งนั้น

เป็นแบบนั้นจริงหรือ?
ตามธรรมชาติม้าจะอยู่เป็นฝูงในที่โล่งแจ้ง เดินและกินและกินและเดิน แทะเล็มหญ้าตลอดวัน เวลาพักก็มักจะยืนหลับ และต้องการการลงนอนหลับสนิทเพียง 15 นาทีต่อวัน แต่มนุษย์เราจะเลี้ยงม้าในคอก บ้างก็ผูกเชือกไว้ ปล่อยแปลงก็มีพื้นที่จำกัด และมักจะเลี้ยงแบบขังเดี่ยว ไม่มีเพื่อนหรือฝูง และขาดอาหารแทะเล็มตลอดเวลา ไม่แปลกเลยที่ม้าจะเบื่อ เครียด รู้สึกไม่ปลอดภัย บางตัวก็สูบลม กัดแทะไม้ เดินวนในคอก ยืนโยกทั้งวัน บางตัวถึงขนาดกินขี้ตัวเองก็มี!

ม้าตามธรรมชาติในประเทศไทยก็มีแค่ทางภาคเหนือ ด้วยเหตุผลเรื่องสภาพแวดล้อม สภาพภูมิอากาศ ม้าส่วนใหญ่ในประเทศเป็นม้านำเข้า และม้าไม่สามารถปรับตัวได้เพียงระยะเวลาไม่กี่สิบปี การวิวัฒนาการใช้เวลานานกว่านั้นมากนัก ด้วยเหตุนี้ การให้อาหารเสริมเช่น แร่ธาตุ แคลเซียม และอิเล็กโตรไลท์จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากม้าขาดสิ่งเหล่านี้ก็จะมีปัญหาสุขภาพ ได้แก่ ปัญหาการเจริญพัฒนาของโครงสร้างของลูกม้า ปัญหาโรคกระดูกพรุน ปัญหาเรื่องการขับเหงื่อเพื่อการระบายความร้อน

การเลี้ยงม้าขังคอกก็สร้างปัญหามาก เพราะเมื่อม้าได้เดินน้อย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการเคลื่อนที่ของลำไส้ก็จะลดลง กระเพาะม้าเล็กมากเมื่อเทียบกับตัวม้า และตามธรรมชาติม้าใช้กระบวนการหมักโดยใช้แบคทีเรียในลำไส้ เพื่อเปลี่ยนหญ้า หรือคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนให้เป็นพลังงาน ลำไส้ม้าไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (ทีได้จากอาหารเม็ด) ในปริมาณมากๆ เป็นมื้อๆ คนเลี้ยงม้ามักจะเข้าใจผิดว่าอาหารเม็ดเป็นอาหารหลักและหญ้าเป็นเพียงอาหารเสริม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วหญ้าควรจะเป็นอาหารหลัก และอาหารเม็ดคืออาหารเสริม

บางครั้งก็ปล่อยม้าในแปลงปล่อยที่มีแต่ทรายโดยไม่มีหญ้าและน้ำให้ และยังให้อาหารเม็ดในแปลงนั้นอีก เมื่ออาหารเม็ดตกลงพื้นม้าก็เก็บกิน ก็มักจะกินทรายเข้าไปด้วย ปัจจัยข้างต้นนี้ล้วนแต่โน้มนำให้เกิดโรคทางเดินอาหารในม้า

การให้อาหารเม็ดในปริมาณมาก กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กก็จะย่อยไม่ทัน เมื่อตกลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ก็จะทำให้ความเป็นกรดในลำไส้สูงขึ้น สมดุลย์ของแบคทีเรียในลำไส้ก็เสียไป แบคทีเรียตายก็ปล่อยสารพิษออกมา รวมทั้งแบคทีเรียก่อโรคก็จะเจริญมากผิดปกติอีกด้วย กรดและสารพิษก็จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด เมื่อไปที่กีบก็ส่งผลให้เกิดการอักเสบของกีบ ไปที่กล้ามเนื้อก็ทำให้มีของเสียสะสมและล้าง่าย เมื่อไปวิ่งก็จะทำให้ม้าไม่ค่อยมีกำลัง เสี่ยงต่อการบาดเจ็บตามมาอีก

นอกจากนี้การเลี้ยงม้าขังคอกก็จะทำให้ม้าต้องยืนดมขี้และฉี่ของตัวเอง(ซึ่งมีแอมโมเนียสูง) ตลอดทั้งวัน แถมยังติดพัดลมในคอกที่เป่าจากบนลงล่างซึ่งไม่ดีต่อการระบายอากาศ ทำให้เกิดปัญหาระบบทางเดินหายใจตามมา และการมีขี้ม้าในคอกมากๆ ก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ รวมถึงพยาธิ

ธรรมชาติของม้าคือผู้ถูกล่า อารมณ์หลักของม้าจึงเป็นความกลัว พฤติกรรมที่ม้าแสดงออกบางครั้งก็เป็นแค่การแสดงความกลัว ม้าพยายามบอกเราว่าเค้ากลัว แต่มักกลับโดนดุโดนตีโดนทำร้าย ผลที่ตามมาก็คือปัญหาเรื่องพฤติกรรม ซึ่งมันป้องกันและแก้ไขได้ ถ้าเข้าใจธรรมชาติของม้า
.......

พี่เล่าเรื่องม้าทำไม?
จริงครับที่พี่ค่ายฟ้าหม่นฯ เค้าบอกให้พี่ช่วยเขียนบทความแนะนำสายงานหมอม้า ประสบการณ์ทำงาน รวมถึงความสนุกในการทำงาน แต่พี่ขอโทษจริงๆ ไม่รู้จะเล่าอย่างไรให้หมดใน 1 หน้ากระดาษ A4 (นี่ก็ปาเข้าไปเกือบสองหน้า) เพราะมันเยอะเหลือเกิน พี่เลยคิดว่าถ้าเราเข้าใจว่าม้าในปัจจุบันมีปัญหาอะไรบ้าง สวัสดิภาพของม้าเป็นอย่างไร ก็น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพลางๆ ได้บ้างว่า ถ้าเราเรียนสัตวแพทย์และเลือกที่จะเป็นหมอม้า เราจะช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง

ปัญหาจะเป็นเพียงแค่ปัญหาถ้าเราไม่ลองมองมุมกลับปรับมุมมอง เพราะแท้จริงแล้วปัญหามาพร้อมโอกาสครับ

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับม้ายังมีอีกมากครับ เพราะฉะนั้นโอกาสที่เราจะเข้ามาเป็นหนึ่งในคนช่วยกันแก้ปัญหาเหล่านั้นก็มากด้วย 

ถ้าโดนสะกิดต่อมอยากก็อย่ามัวนิ่งเฉยครับ เพราะเป้าหมายมีไว้พุ่งชน ;)

หมอฐา (thavet69)


บทความนี้สำหรับค่ายฟ้าหม่นคนดี (ค่ายแนะนำคณะสัตวแพทย์มหิดล) ครั้งที่ 7

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ม้าท้องเสียกับการให้ยาปฏิชีวนะ

ม้าท้องเสียไม่ควรให้ยาปฏิชีวนะครับ
เพราะโอกาสท้องเสียจากการติดเชื้อในม้าเกิดขึ้นน้อยมาก มีเชื้อแค่สองประเภทที่ลำไส้ม้ามี Receptor (หมายความว่าแบคทีเรียโจมตีได้โดยตรง)

และในลำไส้ของม้ามีแบคทีเรียเพื่อช่วยย่อยอาหารอยู่แล้ว เพียงแค่มันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อย่อยน้ำตาล(จากอาหารเม็ด) และมักท้องเสียจากการเสียสมดุลย์ของลำไส้ใหญ่ เนื่องจากการให้อาหารเม็ดที่ไม่เหมาะสม

เพราะอาหารเม็ดมีคาร์โบไฮเดรต (น้ำตาล) สูง หากให้มากเกิน (ม้า 400 kg ไม่ควรเกิน 1.5kg/ มื้อ) จะทำให้อาหารเม็ดตกสู่ลำไส้ใหญ่ส่วน Caecum
ทำให้สมดุลย์ของลำไส้ส่วนนี้เสียไปเพราะ ความเป็นกรดจะมากขึ้น ทำให้มีการดึงน้ำจากส่วนอื่นของร่างกายเข้าสู่ลำไส้เพื่อเจือจางความเป็นกรด
ผลที่ตามมาก็คือทำให้มีน้ำในลำไส้มากกว่าปกติ ทำให้อึเหลว หรืออาจะลุกลามจนถึงขึ้นถ่ายเป็นน้ำ

ไม่ควรให้ยาปฏิชีวนะทุกประเภทในกรณีม้าท้องเสีย เพราะเท่ากับว่าคุณกำลังฆ่าแบคทีเรียตัวดีๆ ที่ช่วยย่อยอาหาร และช่วยให้แบคทีเรียก่อโรคที่ทนต่อยาพวกนี้มากกว่ามีโอกาสได้เจริญเติบโต และก่อโรคในที่สุด

นอกจากนี้เมื่อแบคทีเรียตายก็จะปล่อยสารพิษที่เรียกว่า Endotoxin (ซึ่งมันก็คือ Lipopolysacharide ที่เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ของแบคทีเรียแกรมลบนั่นแหละ)
และแบคทีเรียก่อโรคบางชนิดไม่ต้องรอให้ตาย แค่มันแบ่งตัวก็ปล่อยสารพิษแล้วก็มีครับ

การแก้ไขคือพยายามปรับสมดุลย์ของลำไส้ให้กลับมาสู่ภาวะปกติครับ สิ่งที่ช่วยได้คือการให้ Prebiotic และ Probiotic เช่น Bio-moss และ Yea-sacc ร่วมกับการรักษาตามอาการเช่น ภาวะขาดน้ำ (ทางที่ดีควรให้สัตวแพทย์เป็นผู้ประเมินม้าครับ) 

พิจารณาการให้อาหารเม็ดก่อนครับว่ามากเกินหรือไม่ จำนวนมื้อเหมาะสมหรือไม่ (เช้า เที่ยง เย็น วันละสามมื้อเป็นอย่างน้อยถึงจะดี) อีกอย่างที่เป็นได้คือม้าได้รับหญ้าอ่อนมากเกินไป เพราะหญ้าอ่อนจะมีปริมาณของคาร์โบไฮเดรตที่สูง ผลที่ได้คือม้าได้รับคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป เช่นเดียวกับการได้รับอาหารเม็ดปริมาณมาก

สาเหตุที่ทำให้ม้าท้องเสีย ก็มีตามนี้ครับ อาหารเม็ดที่ให้มากเกิน ได้รับหญ้าที่อ่อนเกินไป มีพยาธิในลำไส้ในปริมาณมาก และสุดท้ายติดเชื้อ (ผมจัดอันดับการติดเชื้อไว้สุดท้าย เนื่องจากเกิดน้อยที่สุด)

แก้ที่สาเหตุครับ เพราะหลายครั้งโรคในม้าเกิดจากมนุษย์ที่รู้เท่าไม่ถึงการนี่แหละครับ