วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"คุณ" เป็นหนึ่งใน "ใคร" คนนั้นหรือเปล่า?

ถ้าปรึกษาเรื่องเคส ถามการป้องกัน การดูแลสุขภาพ หรือความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับม้า ผมยินดีบอกครับ ยินดีที่จะคุยด้วยเป็นอย่างยิ่ง

แต่ถ้าถามว่าม้าเป็นแบบนั้นแบบนี้ ลองรักษาแล้วไม่หาย จะให้ยาอะไรดี หาซื้อยามาฉีดเองอะไรเองนี่ขอบายนะครับ

ถ้าผมบอกอะไรไปแล้วก็ไปให้ยากันเองจนม้าหาย คราวหน้าไม่เรียกหมอแน่ๆ ไม่สิ แม้แต่จะโทรถามยังไม่เลย ก็ให้ยากันเองไป ม้าเป็นอะไรก็ยังไม่รู้ มันเป็นคล้ายๆ ตัวนั้นอ่ะ ให้ยานั้นยานี้สิ แล้วพอไม่หาย อาการแย่ จะขาดใจอยู่ตรงหน้าก็ค่อยโทรมา วนกลับเข้าวงจรอุบาทว์เหมือนเดิม ถ้าจะเล่นวนเวียนกันในวงจรอุบาทว์ก็ตามสบายครับ ส่วนผมขอบายจริงๆ

ผมไม่ได้ตรวจร่างกายม้า ไม่ได้ประเมินสภาพด้วยตนเอง ผมไม่กล้าจริงๆ ที่จะให้ยาอะไร เพราะผมวินิจฉัยไม่ได้ครับ ทำได้ก็แค่เดาเท่านั้น ผมไม่เก่งครับ ไม่เก่งเท่าเทรนเนอร์แน่ๆ ผมไม่ได้อยู่กับม้ามาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้อยู่กับม้ามาตลอดชีวิต เหมือน "ใคร"

ผมไม่มีความกล้านั้น นับถือความกล้าของ "ใคร" บางคนจริงๆ ไม่รู้ว่าม้าป่วยเป็นอะไร ก็ป้อนยา ฉีดยากันไปได้สารพัด

ว่าแต่ "คุณ" เป็นหนึ่งใน "ใคร" คนนั้นหรือเปล่าครับ?

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ชี้แจง "ขอความช่วยเหลือด่วนครับวิธีรักษาม้าเสียดท้อง"

ขอชี้แจงต่อจากบทความ "ขอความช่วยเหลือด่วนครับวิธีรักษาม้าเสียดท้อง" สักหน่อย ประเด็นหลักๆ ที่ต้องมาทำความเข้าใจกันโดยด่วน ก็ดังต่อไปนี้ครับ


ม้าเสียดก็แนะนำให้กรอกสารพัดสิ่งเข้าไป มีอะไรยัดใส่ปากมันไปเดี๋ยวหาย กรอกน้ำมันพืช กรอกกฤษณากลั่น กรอกยาธาตุน้ำแดง ให้ดื่มน้ำหรือกรอกน้ำเยอะๆ

ผมไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดถึงมีคำแนะนำนี้เกิดขึ้นมา อาจจะคิดว่าการกรอกกฤษณากลั่นและยาธาตุน้ำแดงช่วยขับลม ให้ม้าตดหรือเรอออกมา ซึ่งบ้าไปแล้ว อาจจะเพราะคิดว่าน้ำมันพืชจะช่วยให้ลำไส้ลื่นขึ้นแล้วสิ่งที่อุดตันนั้นจะเลื่อนหลุดไปได้ ซึ่งถามว่าใช้ได้มั้ย เข้าใจถูกมั้ย ก็ถือว่าเข้าใจถูกครับ น้ำมันพืชช่วยให้อึนิ่มด้วย.......... 

แล้วทำไมการกรอกอะไรเข้าไปมันถึงไม่ดี?

ปัญหาจากการกรอกสารพัดสิ่งมั่วๆ เข้าไป มันจะเกิดเมื่อม้าเสียดแล้วมี Gastric reflux นี่แหละครับ เอ๊ะ แล้วมันหมายความว่าอะไร? Gastric reflux หมายความว่ามีอาหาร หรือน้ำ ไหลย้อนกลับมาที่กระเพาะอาหารครับ คุณอาจจะคิดว่าเดี๋ยวมันก็อ้วกออกมาเอง ถ้าคิดแบบนี้ คุณคือจุดอ่อนครับ เพราะธรรมชาติม้าอ้วกไม่ได้ครับ เรอก็ไม่ได้ ลองจินตนาการว่าถ้ามันไหลย้อนออกมาชั่วโมงละ 2-3 ลิตร ต่อเนื่องกันเรื่อยๆ ร่วมกับคุณกรอกสารพัดสิ่งเข้าไปมันจะเกิดอะไรขึ้น.......

กระเพาะอาหารแตกครับ!! ถ้าแตกแล้วคุณเตรียมเรียกรถด่วนเลย ไม่ใช่รถขนม้าไปโรงพยาบาลนะครับ รถขุดดินมาขุดหลุมรอครับ เพราะกระเพาะอาหารม้าที่น้ำหนักประมาณ 500 กิโลกรัมนั้น มีความจุไม่เกิน 18-20 ลิตรเท่านั้น! เท่ากับถังสีเท่านั้น ยิ่งม้าเล็กก็ยิ่งเล็กตามไปด้วย และขอย้ำครับว่าม้าเป็นสัตว์กระเพาะเดี่ยวต่างกับวัวควายโดยสิ้นเชิง อย่ามั่ว!!
เมื่อรู้แบบนี้แล้วคุณยังจะกล้ากรอกอะไรลงไปมั่วๆ อีกมั้ย? ถ้ากล้าผมก็ขอยืนไว้อาลัยให้กับม้าของคุณที่ต้องมาเจอกับเจ้าของแบบนี้ ถือว่าเป็นเวรกรรมแต่ชาติปางก่อนก็แล้วกัน

ถ้าคุณจะบอกว่าก็เคยกรอกแล้วไม่เป็นอะไร หายด้วย ก็ถือว่าม้าตัวนั้นโชคดีที่เสียดแบบที่ไม่มี Gastric reflux กรอกไปเลยไม่ส่งผลเสียมากนัก (แต่ช่วยมั้ย ไม่มีใครบอกได้)
และอีกอย่างนึงที่ผมไม่พูดก็คงไม่ได้ การสอดท่อถ้าสอดไม่ดีเข้าหลอดลมนะครับ หลายคนบอกว่าม้าจะไอเวลาเข้าหลอดลม แต่ไม่เสมอไป ม้าบางตัวท่อเข้าหลอดลมก็ไม่มีอาการไอ ถ้าคุณสอดเข้าไปแล้วม้าไม่ไอแล้วคุณกรอกอะไรลงไปก็เตรียมเรียกรถครับ รถขุดดินเช่นเดิม

แล้วก็การกรอกยาแบบเอายาใส่ท่อพีวีซีใหญ่ๆ แล้วจับหน้าม้ายกขึ้นแล้วเทพรวดลงไปน่ะ เข้าปอดมานักต่อนักแล้ว เพราะเวลาม้าเงยหน้า ตำแหน่งของหลอดลมจะมารับกับสิ่งของที่กรอกเข้าไปพอดี นึกถึงเวลาที่คุณวิ่งเหนื่อยๆ สิ คุณยังเงยหน้าเพื่อที่จะหายใจเลย เพราะอะไรเคยคิดมั้ย เพราะลักษณะทางกายวิภาคมันเป็นเช่นนั้น เงยหน้าแล้วหายใจสะดวกขึ้นไง กายวิภาคในส่วนนี้ของคนกับม้าก็ไม่ต่างกันนัก

..............

โดยธรรมชาติม้าสามารถอั้นอุจจาระได้นาน 1-2 วัน





ถ้าปกติคุณขี้เช้า-เย็น แล้ววันนึงคุณไม่ได้ขี้เลยคุณยังคิดว่ามันธรรมชาติมั้ย ปกติม้าขี้วันนึงเป็นสิบกอง แล้วไม่ขี้ 1-2 วัน นี่คุณกล้าบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมชาติอีกหรือ
เรื่องขี้เป็นเรื่องธรรมชาติ และถ้าม้าขี้ด้วยความถี่ ปริมาณ และลักษณะขี้ ที่ผิดไปจากปกติ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติแล้วครับ ลองไปอ่านเรื่องขี้ๆ ที่ผมเคยเขียนไว้ก็แล้วกันนะ


.........

หลายคนแนะนำให้จูงม้าเดิน เมื่อม้าเริ่มมีอาการเสียด

ข้อนี้ขอปรบมือให้ครับ เพราะการจูงม้าเดินนั้นส่งผลดีกับม้าครับ เพราะการเดินจะช่วยกระตุ้นการเคลื่อนที่ของทางเดินอาหาร และกระตุ้นให้ม้าขับถ่าย การเดินจะช่วยให้ม้าลดความเจ็บปวดลงได้เล็กน้อย การเดินช่วยป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดจากการที่ม้าล้มตัวลงนอนบนพื้น หรือลงไปนอนกลิ้งได้ และที่สำคัญคือ เมื่อม้าเริ่มแสดงอาการเสียดเล็กน้อย การจูงม้าเดินเป็นวิธีรักษาเบื้องต้นที่คุณทำได้เองทันทีเลยครับ

..........

ล้วงเอาขี้ที่ค้างอยู่ออก แล้วก็สอดท่อกรอกยา หลายคนบอกว่าหมอก็ทำ

อยากจะบอกเหลือเกินว่า "สิ่งที่เป็นกับสิ่งที่เห็นมันไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน"
เวลาหมอไปรักษาแล้วล้วงก้นเอาขี้ออกหมอไม่ได้ช่วยเอาขี้ออกเพื่อให้ขี้ที่ค้างอยู่ออกไปจนหมดนะครับ ที่ล้วงออกก็เพราะว่าจะได้คลำตรวจลำไส้ดูได้ชัดเจนขึ้นว่ามีความผิดปกติอย่างไรบ้าง เงิบสิ

ลองคิดดูครับว่าแขนเรายาวเท่าไหร่ แล้วตัวม้ายาวเท่าไหร่ แล้วแขนเราเข้าไปได้แค่ไหน แล้วถ้ามันอุดตันที่ลำไส้เล็กหรือที่ลำไส้ใหญ่ส่วนที่อยู่ตรงท้องม้าอ่ะ จะล้วงขี้ออกมายังไงครับ ใช้ Common sense กันนิดนึง ก็จะรู้ว่าหมอไม่ได้ล้วงขี้ออกเพื่อให้ม้าหายมันทำไม่ได้ครับ ถ้าจะทำได้ก็คงต้องพี่งแม่นาคเท่านั้น

แล้วการสอดท่อน่ะ หมอไม่ได้สอดเพื่อกรอกอะไรเข้าไป หมอต้องการจะตรวจว่ามี Gastric reflux หรือไม่ จะได้ประเมินได้ว่าที่ม้าเสียดน่ะ มันน่าจะมีปัญหาที่ลำไส้ส่วนใด แล้วจะรักษาอย่างไร และการที่จะบอกว่ามีหรือไม่มี Gastric reflux มั้ย มันต้องมีหลักการในการดู หลักการในการคิดคำนวณด้วย ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าสอดๆ ไปก็จบ อย่างที่ทำๆ กัน และหมอไม่ได้แค่กรอกยาครับ เข้าใจเสียใหม่ด้วย

..........


ให้น้ำเกลือ

การที่หมอให้น้ำเกลือก็เพื่อรักษาภาวะแห้งน้ำ dehydration และต้องการที่จะให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Overhydration เพื่อให้น้ำจากเลือดเข้าสู่ลำไส้เพื่อให้ก้อนอาหารที่แพ็คแน่นนั้น มันหลุดออกและเคลื่อนผ่านไปได้ หลักการดูดีเลยทีเดียว งั้นที่ให้กันมั่วๆ เองสัก 2000 ซีซีบ้าง 4000 ซีซีบ้าง นั้นมันก็น่าจะดีใช่มั้ย ขอบอกว่าเอาน้ำเกลือที่ให้ไป 2-4 ลิตรนั้นน่ะ ตัดเปิดปากขวดกว้างๆ แล้วเอาราดตัวม้า เช็ดหน้าเช็ดตาเพื่อความสดชื่นของม้าน่าจะดีกว่า เพราะถ้าคำนวณอัตราการให้น้ำเกลือ และปริมาณน้ำเกลือที่ต้องให้แล้วมันได้แค่ไม่ถึง 10% ของที่ต้องการเท่านั้น และผมเชื่อว่าพอผมบอกแบบนี้ก็จะมีคนลองคำนวณกลับว่างั้นควรให้เยอะๆ ไปเลย ก็ขอบอกว่าไม่ถูกต้องอีกนั่นแหละ เพราะการให้น้ำเกลือไม่ใช่แค่ปริมาณ แต่มันขึ้นอยู่กับวิธีการ และการประเมินสภาพม้า ที่หมอเรียกว่าการวินิจฉัยร่วมด้วย

...............


น่าจะหมดแล้วนะ....


ที่อยากจะฝากให้คิดดูคือ

คุณอย่าลืมว่าคนที่มาบอกวิธีรักษาที่เค้าเคยทำแล้วได้ผลน่ะ เค้าบอกความจริงคุณแค่ครึ่งเดียว

โปรดฟังอีกครั้ง

เค้าบอกความจริงคุณแค่ครึ่งเดียว

เพราะตัวที่รักษาไปมั่วๆ แล้วตายน่ะ เค้าไม่บอกคุณหรอก และเหตุผลที่ตายเค้าก็มักจะคิดกันว่าม้าเป็นหนักมากเลยช่วยอะไรไม่ได้ โทษม้าเช่นเคย ไม่ค่อยคิดทบทวนแล้วโทษคนในกระจกกันหรอก ม้าเสียดเพราะอะไร ก็โทษความซวย โทษม้า โทษตัวเองกันบ้างสิเฮ้ย จะได้คิดปรับปรุงพัฒนาอะไรกันบ้าง พี่น้องค้าบบบบบ

ม้าเสียดแบบไหนคุณยังไม่รู้เลย คุณยังไม่ได้ประเมินด้วยซ้ำไป คุณไม่เห็นม้าด้วยซ้ำไป คุณไม่ได้ซักประวัติอะไรเลย แต่คุณก็แนะนำไปแบบนั้น ซึ่งมันอันตรายครับ ม้าต้องมาเสี่ยงชีวิตจากความไม่รู้ของพวกคุณ อันตรายสำหรับเจ้าของก็คือเสียม้า เสียเงิน เสียใจ แต่เจ้าของไม่เสียชีวิตแน่ๆ ม้าตายก็ซื้อใหม่ได้ คนแนะนำที่มั่วๆ กันก็หายเข้ากลีบเมฆไปไม่ต้องรับผิดชอบอะไร หรือไม่ก็บอกว่าม้ามันเป็นหนัก โทษแต่ม้า ไม่เคยโทษคนในกระจกบ้างเลยนะพวกคุณ

(อารมณ์บวกกับความปากหมาล้วนๆ ขออภัยมา ณ ที่นี้)

........................

อ่านมาถึงตรงนี้คุณคงจะเห็นว่าสิ่งสำคัญของการรักษาแท้จริงแล้วไม่ใช่การรักษา แต่มันคือการวินิจฉัย

ถ้าคุณจะเข้าใจการวินิจฉัยว่าต้องทำอย่างไร คุณต้องมีพื้นฐานความรู้เสียก่อน ซึ่งก็หาไม่ยากเท่าไหร่ครับ แค่คุณเรียนมัธยมปลายสายวิทย์-คณิต และสอบเข้าสัตวแพทย์ แล้วเรียนสัตวแพทย์ 6 ปีเท่านั้นเอง แล้วก็ต้องฝึกงานเฉพาะทางเรื่องม้าด้วย คุณก็จะสามารถวินิจฉัยได้แล้ว 

ถ้าสิ่งทีผมเสนอมันยากไป ผมและหมอม้าหลายๆ คนก็พร้อมที่จะช่วยคุณ ในเรื่องการจัดการการเลี้ยงม้า เพื่อลดปัญหาการเสียดท้อง รวมถึงปัญหาอื่นๆ ที่เกิดจากการจัดการการเลี้ยงม้าที่ไม่เหมาะสม ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค ดีกว่าการตามรักษาเยอะครับ 

หมอม้าในประเทศไทยมีไม่ถึง 50 คน ม้าในประเทศมีเท่าไหร่กัน หมอจำนวนหยิบมือเท่านี้ช่วยคุณได้ไม่ทุกคนหรอกครับ เพราะฉะนั้นคุณต้องช่วยตัวคุณเองก่อนเป็นอันดับแรก เพราะว่าถ้าคุณจัดการการเลี้ยงได้ดีแล้ว คุณก็ไม่ต้องมานั่งปวดหัวเวลาม้าป่วยครับ และที่สำคัญชีวิตที่อยู่ในกำมือคุณก็จะได้ไม่ต้องทรมานจากน้ำมือคุณด้วย

จะดีกว่ามั้ย ถ้าเราจะเจอกันในสถานการณ์ชิวๆ บ้าง ไม่ใช่ม้าอาการแย่แล้วค่อยเจอกัน มันเหนื่อยนะ


ห๊ะ อะไรนะ ไม่เหนื่อยเหรอ? เฮ้อออออออออออ - -"

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความภาคภูมิใจในความป่าเถื่อน และ ความไม่เข้าใจในธรรมชาติของม้า

"มึงเยอะละ มึงจะเยอะไปละ!"

ผมได้ยินเสียงตะคอกแบบนี้ พร้อมกับเห็นค้อนกระทุ้งเข้าไปตรงหน้าอกของม้าสองสามทีติดกัน

"เป็นไงล่ะมึง ซ่านัก"

คำพูดนี้มาพร้อมกับอาการที่ม้าพยายามเบี่ยงตัวหลบออกจากค้อนที่กระแทกเข้ามาที่หน้าอก ด้วยแววตาที่ตื่นกลัว พร้อมด้วยรอยยิ้มที่กระหยิ่มยิ้มย่องภาคภูมิใจในความป่าเถื่อนของตัวเอง และยังหันไปยักคิ้วกับเพื่อนและรุ่นน้องที่ตามมาเป็นลูกมือ เหมือนกับจะสื่อว่ามันต้องแบบนี้ถึงจะเอาม้าอยู่ ม้าถึงจะยอม ส่งต่อความคิด จิตวิญญาณ และความป่าเถื่อนอย่างทั่วถึงกัน

เหตุการณ์ก่อนหน้านี้คือ ม้าไม่ยอมยืนนิ่งให้ช่างเกือกตัดแต่งและใส่เกือกได้ถนัด พยายามดึงขาออกตลอด และเบี่ยงตัวหลบตลอด คนรอบข้างที่เห็นก็คงจะมองว่ามันช่างเป็นอะไรที่น่ารำคาญ ทำไมม้าถึงได้นิสัยเสียแบบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครสนใจและเอาใจใส่เลย คือม้ามันกำลังบอกเราว่าอะไร และมันตอบสนองแบบนั้นเพราะอะไร

การที่ม้าพยายามดึงขาออก และเบี่ยงตัวหลบ มันกำลังบอกเราว่ามันกำลังกลัวกับการที่จะต้องถูกมนุษย์ยกขาและมาทำอะไรบางอย่างกับกีบของมันที่มันไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ ม้าเป็นสัตว์ที่เป็นเหยื่อในธรรมชาติ ไม่ได้เป็นผู้ล่า สัญชาติญาณเมื่อเจอสิ่งที่มีอันตรายก็มักจะเป็น Flight ไม่ใช่ Fight ม้าเลือกที่จะหนีออกจากสิ่งที่ทำให้เจ็บ ทำให้กลัว สิ่งที่ไม่ปลอดภัยทั้งหลาย และเหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้ม้ากลัวก็ความเจ็บจากการยกขาม้าที่สูงและดึงขาม้าออกมาจากแนวกลางตัวมากเกินไป เมื่อม้าเจ็บมันก็กลัว เมื่อมันกลัวมันก็หนี ง่ายๆ แบบนั้นเอง

.......

แต่เมื่อมันพยายามหนีเพราะว่ามันกลัว สิ่งที่มันได้รับก็คือแรงกระแทกของหัวค้อนที่เข้ามาที่หน้าอก ที่ทำให้มันเจ็บ และยิ่งกลัวมากกว่าเดิม เป็นการตอกย้ำความคิดเดิมของมันว่า การอยู่กับคนที่มีลักษณะแบบนี้มันไม่ปลอดภัยจริงๆ ต้องเจ็บตัวเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่มันก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ไกลเพราะขลุมที่ใส่และเชือกที่ขึงโยงเอาไว้ให้อยู่กับที่ ทุกครั้งที่เจอกับมนุษย์ที่ใส่กางเกงหนัง มีมีดในมือ มีตะไบ มีเสียงตีเหล็ก สมองของมันจะเตือนตัวเองทันทีว่า เดี๋ยวได้เจ็บตัวแน่ๆ และเหมือนเดิมสัญชาตญาณบอกให้หนี แต่ก็ทำได้แค่เบี่ยงตัวหลบ และดึงขาออกจากคนๆ นั้น แต่เมื่อมันพยายามหนีเพราะว่ามันกลัว สิ่งที่ได้มันได้รับก็คือแรงกระแทกของหัวค้อนที่เข้ามาที่อก ทำให้มันเจ็บ และยิ่งกลัวมากกว่าเดิม เป็นการตอกย้ำความคิดเดิมของมันว่า การอยู่กับคนที่มีลักษณะแบบนี้มันไม่ปลอดภัยจริงๆ ต้องเจ็บตัวเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่มันก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ไกลเพราะขลุมที่ใส่และเชือกที่ขึงโยงเอาไว้..........


เหตุการณ์เกิดขึ้นวนไปแบบนี้ไม่จบไม่สิ้นเสียทีตราบใดก็ตามที่คนยังไม่เข้าใจธรรมชาติม้า และโยนความผิดทั้งหมดให้ไอ้ม้าดื้อ และสั่งสอนมันซะ


.........


ถ้าคุณเป็นม้าตัวนี้ คุณจะทำอย่างไร? ช่วยบอกที...

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จ่ายแพงกว่าทำไม?

หลายๆ ท่านอาจเคยได้ยินดรื่องการกัดเดลื่อนมาบ้างไม่มากก็น้อย เหตุผลที่เกลื่อนก็แตกต่างกันไป แต่เหตุผลหนึ่งที่ฟังดูแล้วมันแปลก และย้อนแย้งในตัวเองก็คือ เอาไปผ่าตัดกับหมอมันแพง เลยเกลื่อนเอง ลองอ่านดูสักนิด แล้วคิดตามครับ

1. เกลื่อนเข่า เพื่อให้กระดูกออกมา เป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น กระดูกที่แตกไม่ได้ลอยไปมาอย่างอิสระภายในข้อ และถึงตอนเกลื่อนจะมีกระดูกออกมา นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะตอนที่หมอผ่าตัด จะต้องดูด้วยว่ามีการแตกอื่นๆ ที่ไม่เห็นใน x-ray อีกหรือไม่ สภาพเนื้อกระดูกเป็นอย่างไร เส้นเอ็นภายในเข่ามีการฉีกขาดหรือไม่ อย่างไร

2. เท่าที่ทราบจากเทรนเนอร์ หลังเกลื่อนเข่า (ซึ่งเป็นวิธีที่ทรมานม้า) จะต้องพักม้าเป็นเวลานาน 8-9 เดือน เพื่อให้แผลหายดี เพราะแผลที่เข่านั้นจะเป็นเรื้อรังไปนาน ถ้าลองคำนวณค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงเฉลี่ยต่อเดือน เดือนละ 10000-12000 ก็ตกเป็นเงิน 80000-108000 ไม่รวมค่ายารักษาแผลต่างๆ

3.  การนำม้ามาผ่าตัดในกรณีกระดูกแตกกับสัตวแพทย์ ค่าตรวจและวินิจฉัยประมาณ 3000-5000 บาท ค่าผ่าตัด ~30000 บาท ค่าฉีดยาเข้าเข่ารวมทั้งหมดไม่เกิน 10000 บาท พักม้า 4-5 เดือนเป็นเงิน 40000-60000 รวมค่าใช้จ่ายก็ตกเป็นเงินประมาณ 100000 บาท
เห็นความต่างของค่าใช้จ่ายมั้ยครับ?


ต่างกันประมาณนี้ ไม่ทราบว่าจะใช้วิธีของหมอผีทั้งหลาย.... เพื่อออออ!?


คิดสิคิด

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"แค่อยากจะบอก"

ผมเป็นหมอม้าคนนึงที่เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกีบม้า และวงการม้า ไม่ว่าจะเป็นม้าขี่เล่น ม้ากีฬา ม้าลากรถ และม้าแข่ง แต่ละที่ก็จะมีปัญหาที่แตกต่างกันไปขึ้นกับธรรมชาติของการใช้งานม้า

เหมือนคนที่ประกอบอาชีพต่างกันก็มักจะมีปัญหาสุขภาพต่างกัน คนที่ยกของหนักมากๆ ก็มักจะปวดหลัง คนที่ต้องยืนนานๆ ก็เส้นเลือดขอด ประมาณนั้น

ม้าก็เช่นกัน ปัญหาที่เกิดจากการใช้งานนั้นเราอาจจะต้องทำใจที่จะต้องพบเจอกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนมองข้ามไป คือเรื่องของการป้องกันปัญหา

ทำไม? เราต้องมาหาวิธีการสารพัดในการรักษา
ทำไม? เราถึงมานั่งภาคภูมิใจเมื่อเราสามารถหาวิธีที่ทำให้ม้าหายจากอาการไม่ปกติเหล่านั้น
ทำไม? ม้าถึงต้องเจอการลองผิดลองถูกในการรักษา การให้ยา จากคนที่ไม่รู้จริงๆ ว่าวิธีการนั้นมันควรทำหรือไม่ควร แค่ลองทำไป เค้าว่ากันว่ามันได้ผลก็ลองกันไป ลองถูกก็โชคดี ลองผิดม้าก็ซวย
ทำไม? ม้าถึงได้มีปัญหาสุขภาพ และเป็นปัญหาเดิมๆ คล้ายๆ กัน จนเรามองว่าปัญหานั้นเป็นเรื่องปกติ
"อ๋อ ม้าเป็นแบบนี้ก็ต้องรักษาแบบนั้น"
 ..........


ทำไม? เราถึงไม่ตั้งคำถามว่า "ทำไม"


หลายครั้งในชีวิตเราเจอปัญหา แล้วก็แก้ปัญหาไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ได้ฉุกคิดเลยว่า "ทำไม" มันถึงเกิดปัญหา สาเหตุคืออะไร แล้วเราป้องกันปัญหาได้มั้ย

หรือว่าพอหาสาเหตุปัญหาแล้วกลับมาพบว่า ต้นเหตุนั้นคือตนเอง เลยรับไม่ได้ ก็เลยปล่อยให้เกิดปัญหาต่อไป

คำถามคือ "เพื่อออออ!!?"


"รู้แต่ไม่ลงมือทำ มีค่าเท่ากับไม่รู้"


นะครับ

ขอความช่วยเหลือด่วนครับวิธีรักษาม้าเสียดท้อง

ผมเคยอ่านกระทู้นี้ตั้งแต่เป็นกระทู้เก่าในเว็บไซต์ซื้อขายม้าชื่อดังแห่งหนึ่งจนกระทั่งตอนนี้เค้าย้ายเว็บไซต์แล้วก็นึกว่าเรื่องนี้จะหายไปสักที แต่ก็มีการย้ายกระทู้นี้มาด้วย ลองไปหาอ่านกันในอากู๋ได้ครับ

ในฐานะสัตวแพทย์ที่รักษาม้าคนหนึ่ง ความรู้สึกหลังจากที่อ่านไปได้ไม่กี่คอมเมนต์ คือ "นี่มันเหี้ยอะไรเนี่ย"
ผมไม่ได้หยาบคาย แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะสิ่งที่เรียกว่าการรักษาม้าเสียดท้องในกระทู้นี้มันช่างอเมซิ่งสุดแสนลึกล้ำเหลือเกิน

ผมเคยคิดว่า ปล่อยวางละกัน เพราะถ้าไปคอมเมนต์อะไรก็เหมือนการล่อเป้าให้เค้ามาด่า พูดอะไรไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ถ้าจะลงทุนอะไรสักอย่าง มันต้องได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าสิ.....


แต่ผมลืมคิดไปว่าผมไม่มีอะไรจะเสีย ไปมากกว่าเวลา ซึ่งถ้ามันจะแลกมากับผลประโยชน์ที่ม้าจะได้ ผมว่ามันคุ้ม



เอาล่ะเกริ่นมานาน เริ่มเลยก็แล้วกัน

............................


เริ่มจากมีคนมาโพสต์ขอความช่วยเหลือเพราะว่าม้าเสียด ปรึกษาหมอปศุสัตว์แล้วบอกให้กรอกน้ำมันพืช 20 CC และให้จูงม้าเดิน อย่าให้นอนกลิ้ง ปรากฏว่ามาถ่ายออกมา 1 กอง แต่อาการไม่ดีขึ้น เลยสงสัยว่าอาหารเป็นพิษร่วมด้วยเหรือไม่ ใครก็ได้ช่วยด้วย ม้าผมเป็นอะไร รักษายังไงบ้างแนะนำที





หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนเข้ามาแนะนำวิธีการรักษาสารพัดสารเพ อันประกอบไปด้วย



ม้าน่าจะเสียดนะครับ กรอกน้ำมันพืชด้วยครับ กฤษณากลั่นก็ดีครับกรอกเลยครับ ผสมเหล้าขาวนิดนึงกำลังแซ่บเลยครับ (เอ๊ะ ไม่ใช่สิ) กรอกยาแล้วให้ตีวงให้ถ่ายหรือผายลมบ่อยๆ ครับ ถ้าหนักมากๆ ต้องให้น้ำเกลือด้วยครับ



ส่วนพี่คนนี้เคยใช้ยาธาตุน้ำแดงผสมกฤษณากลั่น กรอก แล้วให้จูงวิ่ง แล้วหายครับ โอ้ว พระเจ้ายอดมันจอร์จม๊ากกก




แล้วก็เริ่มมีมาให้ความรู้ เริ่มให้สังเกตอาการม้าว่าเป็นอย่างไร เสียดจริงหรือไม่ประมาณนั้นจากนั้นก็แนะนำวิธีการรักษา ซึ่งมันดูง่ายเหลือเกินนะนี่นะ แต่ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องหาสาเหตุกันใหม่นะครับ อาจจะไม่เสียดนะครับ





แต่เสียดายที่วิธีการที่บอกมานั้น กว่าจะสังเกตได้อาการม้าก็หนักแล้ว และวิธีการรักษาที่แนะนำแต่ละคอมเมนต์นี่ถ้าไม่หายนี่มันก็ไม่แปลกล่ะครับ




ผมล่ะรักคอมเมนต์นี้เหลือเกิน ทำไมพี่ไม่มาคอมเมนต์เร็วๆ ครับ ตามหมอสิครับ ตามหมอ



แต่พี่ดันมาตกม้าตายตอนท้ายว่าหมอสอดท่อเพื่อกรอกยาแล้วจะช่วยให้หายเร็วขึ้น ไม่ใช่นะครับ




จากนั้นก็เริ่มมี "ผู้รู้" มาให้ข้อมูลและสาเหตุของการเสียด




ถึงแม้ข้อความโดยรวมจะดูน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังมีส่วนที่เข้าใจผิดรวมกันอยู่ ซึ่งมันอาจจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าข้อมูลทั้งหมดนั้นถูกต้อง ซึ่งมันอันตรายมากครับ อย่างเช่นที่บอกว่าการเสียดท้องในม้ามาจาก 2 กรณี เหมือนจะบอกถึงสาเหตุที่ทำให้ม้าเสียด แต่กลับไปบอกประเภทอาการของม้าเสียดท้องแทน

แล้วก็มีคนเข้าตอบทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยแตกต่างกันไป แต่มีจุดที่น่าสนใจคือเรื่องอ้อยครับ




เรื่องอ้อยนี่น่าสนใจครับ และสามารถนำไปสู่ประเด็นปัญหาหลักๆ ที่ทำให้ม้าเสียดได้ (ซึ่งผมจะอธิบายทั้งหมดในบทความต่อไป)

แล้วผู้รุ้ท่านเดิมก็เข้ามาไขข้องใจ ด้วยข้อมูลที่ดูแปลกๆ และยังไม่มีผลทดสอบที่แน่ชัด (พอเข้าใจนะครับ)



ประเด็นที่น่าสนใจในคอมเมนต์นี้คือ อาหารหลายๆ อย่างที่เราไม่ควรให้ม้ากิน ซึ่งผมจะขยายความในบทความต่อไป

(จะได้ดูน่าติดตามนิดนึง)


หลังจากนั้น ไม่ทราบว่าเค้าไปคุยกันหลังไมค์อย่างไรหรือไม่ แต่ก็มีการสรุปเลยครับว่าม้าเป็นอะไรกันแน่!!



อ่านแล้วลองเดาดูนะครับว่าจุดไหนควรทำไม่ควรทำ โดยผมจะยกประเด็นที่สร้างความเข้าใจผิดอย่างยิ่งคือ "โดยธรรมชาติม้าสามารถอั้นอุจจาระได้ 1-2 วัน" เฮ้ย ถามจริงนี่มั่นใจจริงๆ เหรอที่พิมพ์ออกมาแบบนี้ คุณกำลังเข้าใจผิด และส่งต่อความเข้าใจที่คุณคิดว่าถูกนั้นให้คนอื่นๆ นะครับ


จากนั้นเจ้าของกระทู้ก็มากล่าวขอบคุณหลังจากที่ม้าหายป่วย หลังจากให้น้ำเกลือไปกระปุกครึ่ง....... เฮ้อออออ แล้วก็ถามต่อว่าให้หญ้าสดจะเป็นอะไรหรือเปล่า


"ผู้รู้" ซึ่งรู้จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ ก็มาอธิบายต่อไป





แล้วกระทู้ก็จบลงตรงนั้น ถึงจะมีคนมาถามต่อก็ไม่ได้มีการมาตอบคำถามแต่อย่างใด


สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ คงจะรู้สึกได้ว่าผมชี้ประเด็นและออกความเห็นที่ลำเอียงมาก แต่ไม่ได้มีเจตนาโจมตีใครแต่อย่างใด

สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นจากกระทู้นี้คือ 

การส่งต่อความรู้นั้น ผู้ถ่ายทอดควรมั่นใจและรู้จริงๆ ว่าสิ่งที่เรากำลังจะบอกต่อนั้นมันถูกต้องจริงๆ เพราะการส่งต่อความไม่รู้แบบในกระทู้นี้นั้นช่างอันตรายนัก มันส่งต่อกรอบความคิดผิดๆ ความเชื่อผิดๆ ความเข้าใจผิดๆ ต่อๆ กันไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด และผู้ที่ได้รับผลนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นก็คือตัวเหล่าคนเลี้ยงม้าเอง ที่อาจจะต้องเสียม้าไปเพราะความเชื่อแบบผิดๆ

หลังจากบทความนี้ออกไป อาจจะมีคนออกมาเถียงว่า เฮ้ย กูลองแล้วมันรักษาได้จริงๆ มันทำได้ มันหาย

โอเคครับผมไม่เถียง แต่วานท่านช่วยบอกเปอร์เซนต์การรอดของม้า จากวิธีการที่ท่านกล่าวอ้างว่าทำแล้วม้าหาย ทำแล้วได้ผล ผมขอฝากอีกหนึ่งคำถามไปถึงท่านผู้รู้ว่าท่านจะมั่นใจอะไรนักหนา(วะ) ว่าวิธีที่แนะนำอยู่นี้มันถูกต้อง และมันเป็นสิ่งที่ควรทำจริงๆ ถ้าท่านมีเหตุผลเพียงพอมากกว่าการมาเถียงๆ แถๆ ว่าลองทำแล้วมันหาย ค่อยมาคุยกันครับ หรือถ้าอยากถามคำถามผมก็ยินดีที่จะตอบ


แต่อย่างไรก็ดี วันนี้ผมคงจบบทความนี้ไว้เท่านี้ แล้วเราค่อยมาต่อกันในบทความหน้าที่ผมจะมาอธิบายให้ฟังว่า ที่ทำกันแต่ละอย่างเนี่ยอะไรดี อะไรไม่ดีอย่างไร ความเชื่ออันไหนที่มันผิดมหันต์ ข้อมูลใดที่มันครึ่งๆ กลางๆ และอันไหนที่มันถูกต้องบ้าง



แล้วเจอกัน ;)

ช่วงนี้ก็เข้าไปอ่านบทความเรื่องม้าเสียดท้องของโรงพยาบาลม้าโคราช เพื่อทำความเข้าใจกันไปพลางๆ ก่อนแล้วกันครับ