วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ม้ากีบเน่า และไอ้หมอเชี่ย (2)

สืบเนื่องมาจากโพสต์นี้นะครับ http://thavet69.blogspot.com/2013/07/blog-post.html

เรื่องของเรื่องคือ

หลวงพี่ท่านหนึ่งได้มาโพสต์ขอความช่วยเหลือลงใน FB ลงรูปพร้อมคำอธิบายดังนี้




ปัญหามันอยู่ที่ว่าไม่ค่อยมีคนออกมาช่วยเหลือเท่าไหร่ มีแต่คนเข้ามาออกความเห็นกันอย่างรุนแรง ด่าหมออย่างนั้นอย่างนี้ หมอใจบาป ไอ้หมอเชี่ย หมอไม่มีจรรยาบรรณ ขาเน่าแค่นี้ตัดขาไม่ได้หรือไง เค้าเรียกมึงมารักษา ทำไมมึงมาบอกให้ฉีดยาให้ตาย พระไม่มีเงินจ่ายใช่มั้ย ถ้าเป็นมึงป่วยหมอบอกรักษาไม่หายต้องฉีดยาตาย มึงจะยอมมั้ย พวกมึงมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ฉีดยาให้ตาย เอายานั่นไปฉีดหมอเองนั่นแหละดีกว่า... (ผมอาจจะใส่อารมณ์มากไป แต่ก็เพื่ออรรถรสของการอ่านนะครับนะ)
.
.
.
.
.

คำถามคือใครทราบบ้างว่าอาการม้าตัวนี้หนักแค่ไหน กีบที่ว่าเน่า เน่าอย่างไร แล้วรู้จริงหรือไม่ว่ารักษาได้หรือไม่ได้?......

เงียบอีกสิ..... ตอบสิครับตอบ เห็นมั้ยว่า ยังไม่มีใครรู้เลยว่าความจริงเป็นอย่างไร อ่านแล้วผมเข้าใจได้ว่าคงอมเด็กแว๊นไว้ในปากแล้วก็มาพิมพ์ ออกตัวซะแรงเชียว

เคสนี้ผมทราบเรื่องตั้งแต่เมื่อวาน (1 กรกฎาคม 2556) ครับ น้องคนหนึ่งได้โทรมาปรึกษาว่ามีม้าขาเจ็บตัวหนึ่ง ตอนแรกเป็นแผลที่กีบขนาดเล็ก แล้วสุดท้ายลุกลามจนกีบหลุด น้องพึ่งได้เห็นเช่นกัน ตอนนี้ม้าอยู่ที่วัดแห่งนึงในจังหวัดตาก อยากให้หมอช่วยเข้าไปดูแล ผมจึงได้ส่งเรื่องต่อไปทางหมอคุง ซึ่งเป็นสัตวแพทย์ประจำมูลนิธิม้าลำปาง



วันต่อมา (วันนี้) ผมก็ทำงานตามปกติจนมีโทรศัพท์เข้ามาจากพี่โจ (Jo Kanyanat) เจ้าของม้าที่รู้จักกันว่าตอนนี้มีม้ามีปัญหากีบอยู่ที่วัดที่จัดหวัดตาก....... ผมก็ตัดบททันที ว่าเป็นม้าตัวเดียวกันหรือไม่ ซึ่งก็ใช่ และได้ตอบทางพี่โจไปแล้วว่าผมมีความเห็นอย่างไร และผมก็ได้ตามเข้าไปอ่านใน FB และก็พบกับดราม่ามากมาย ผมถึงได้ตัดสินใจเขียนบทความ ม้ากีบเน่า และไอ้หมอเชี่ย (1) และบทความนี้ขึ้นมา

ความเห็นของผมก็คือผมแนะนำให้ Put to Sleep เพื่อให้เค้าหลับไปอย่างสงบ และไม่ต้องทรมานอีก เพราะเคสนี้ไม่ใช่แค่ม้ามีแผล แล้วแผลเน่าธรรมดา เพราะที่ว่าเน่านั้น มันเป็นเช่นนี้


สำหรับคนที่ไม่เคยได้สัมผัสม้า ไม่เคยได้รู้จักม้ามาก่อน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าเป็น penis ม้าหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่แผลมั้ง หยุดโลกสวยของคุณเดี๋ยวนี้ครับ!!

จากภาพที่เห็นนั้นมันคือส่วนของกีบของขาหลังข้างซ้ายที่ตัวกีบได้หลุดออกไปทั้งหมดแล้ว เหลือแต่ตัวเนื้อเยื่อด้านในเท่านั้น ซึ่งตามธรรมชาติแล้วจะมีลักษณะเช่นนี้



และเมื่อส่วนของกีบภายนอกหลุดออกไปก็จะเป็นเช่นนี้


ลองเปรียบเทียบดูกับเคสเจ้าเงินนะครับ เนื้อเยื่อภายในที่เรียกว่า Lamina เสียหายไปหมดแล้ว ซึ่งปกติแล้ว Lamina จะมีลักษณะทางกายวิภาคเช่นนี้ครับ


ภาพทางด้านขวาคือภายในของกีบที่แข็งๆ ที่เราเห็นกันครับ
หมายเลข 1 คือ Coronary groove เปรียบได้กับเล็บเราตรงโคนเล็บนั่นล่ะครับ เป็นส่วนที่รับกับ Coronary band เป็นจุดที่มีการเริ่มต้นการเจริญของกีบ
หมายเลข 2 คือ Insensitive lamina ส่วนนี้เป็นส่วนที่ยึดกับเนื้อเยื่อด้านในของกีบครับ ซึ่งจะอธิบายต่อไป และตามชื่อ Insensitive ก็คือเป็นส่วนที่ไม่ได้รับความรู้สึกอะไร

ภาพทางด้านซ้าย หมายเลข 1 คือ Coronary band ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นส่วนที่เจริญของกีบ (เทียบได้กับโคนเล็บของเรานี่ล่ะครับ) และหมายเลข 2 คือ Sensitive Lamina ตามชื่อครับ ส่วนนี้เป็นส่วนที่ Sensitive หรือบอบบางนั่นเอง อุดมไปด้วยเส้นเลือด และเส้นประสาทจำนวนมาก ถ้าใครเคยเดินเตะขอบเตียง ประตูหนีบนิ้ว หรือเล็บหลุดคงจะพอเข้าใจความรู้สึกว่ามันเจ็บปวดระดับไหน

ผมอาจจะลงลึกไปสักนิด แต่ลองอ่านและทำความเข้าใจสักนิดครับ แล้วดูรูปนี้ต่อไป

ทีนี้ท่านก็จะเข้าใจ (ถ้าคุณพยายามทำความเข้าใจ) ว่าความเจ็บปวดมันน่าจะเป็นระดับไหน แต่ก็อย่าลืมนะครับว่าม้าต้องยืนอยู่บนส่วนที่เรียกว่ากีบนี้ โดยแบกรับน้ำหนักของร่างกายเอาไว้อีก ซึ่งขาหลังทั้งสองข้างจะรับน้ำหนักประมาณ 40% ของน้ำหนักตัวในขณะที่ยืน ม้าตัวนี้น้ำหนักน่าจะอยู่ที่ประมาณ 350 - 400 kg ลองคำนวณกันดูครับ ว่าขาหลังข้างขวาของม้าตัวนี้ต้องรับน้ำหนักเท่าไหร่

สมมติว่าม้าตัวนี้ลุกขึ้นยืนได้ อะไรจะเกิดขึ้นกับขาข้างที่เหลือ น้ำหนัก 2 เท่าจากปกติที่เคยได้รับ จะทำให้กระดูกภายในกีบเริ่มแยกกับตัวผนังกีบและทะลุพื้นกีบลงมาในที่สุด และม้าจะไม่สามารถใช้ขาทั้ง 2 ข้างได้อีกเลย สุดท้ายก็ต้องลงนอน



เอาสลิงพยุงให้ยืนขึ้นสิ

สลิงสามารถช่วยพยุงม้าได้ครับ ในกรณ๊ที่ม้าตัวนั้นยืนนิ่งๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ดิ้น ไม่ขยับไปไหนมากนัก 

เฮ้ย นี่มันดูเป็นความคิดที่เข้าท่านี่นา แต่ช้าก่อน!!! พวกคุณเคยเห็นม้าตัวเป็นๆ ใกล้ๆ กันบ้างมั้ยครับ และพวกคุณเคยสัมผัสม้ามั้ยครับ และพวกคุณเคยเห็นตอนที่ม้าตื่นตกใจและดิ้นสุดพลังกันบ้างมั้ยครับ?

ถ้าพวกคุณเคยเห็น คุณก็จะเข้าใจว่าทำไมมันถึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย

ถึงพยุงได้ แต่ถ้าเป็นระยะเวลานานตัวสลิงก็ทำให้เกิดแผลกดทับภายนอก และกดอวัยวะภายในช่องท้อง และถ้าตัวสลิงเลื่อนไปกดบริเวณช่องอก ม้าดิ้นแรงมากๆ กระดูกซี่โครงหักทะลุปอด.............. 



ทำ Wheelchair ให้ม้าตัวนี้สิ

คำถามคือคุณจะอุ้มม้าน้ำหนักเกือบครึ่งตันให้นั่งรถเข็นด้วยวิธีใด? 

คุณจะหัดอย่างไรให้ม้าเค้ารับรู้ว่าเค้าสามารถนั่งรถเข็นได้? จะทำอย่างไรไม่ให้เค้ากลัวรถเข็น จะทำอย่างไรกับปัญหาแผลกดทับที่เกิดจากน้ำหนักตัวที่กดลงมาบนรถเข็น? แล้วจะทำให้ตัวม้าอยู่ติดกับรถเข็นได้อย่างไร?
และที่สำคัญจะใช้วัสดุอะไรในการทำรถเข็นคันนี้ที่จะสามารถรับน้ำหนักขนาดนั้นได้ ออกแบบอย่างไร ใช้เงินทุนเท่าไหร่ และใครจะสามารถทำได้บ้าง? เอ้า..... ตอบ ส่วนตัวผมตอนนี้ ตัดความเป็นไปได้ออกไปตั้งแต่จะอุ้มนั่งรถเข็นอย่างไรละครับ

เราจะใส่ขาเทียมให้ม้าตัวนี้กันมั้ย?

คุณอาจจะเคยเห็นรูปที่มีม้าใส่ขาเทียม คำถามคือคุณเคยเห็นมากี่รูปแล้วครับ? 
เท่าทีมีตอนนี้ ยังไม่สามารถใส่ขาเทียมให้ม้าได้ทุกตัวนะครับ มันไม่ง่ายขนาดนั้น เอาเป็นว่าผมขอยกคอมเมนต์นึงจากพี่หมอตั้ม (อ.น.สพ.ธีรพล ชินกังสดาร) มาให้อ่านแล้วกันครับ



ก็ให้เค้านอนแบบนี้ไปเรื่อยๆ สิ เราไม่มีสิทธิตัดสินชีวิตอื่นนะ

"ม้าอยู่ในที่โล่งแจ้งแต่เป็นฝูงเพื่อระวังภัยให้กันและกัน เดินหาอาหารและแทะเล็มตลอดวัน ม้าต้องการการลงนอนและหลับสนิทเพียง 15 นาทีต่อวัน"
(ที่มา http://www.thehorsepital.com/horsemanual/73-2012-08-15-10-41-19 )

อ่านแล้วคิดอะไรได้สักนิดนึงมั้ยครับ? ธรรมชาติของม้าคือการเดินๆๆๆๆๆ วิ่งๆๆๆ เล็มกินหญ้าตลอดทั้งวัน การเดินไม่ใช่แค่เดิน มันช่วยกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนตัวของลำไส้ด้วย ทีนี้ถ้าม้านอนนานๆ สิ่งที่ตามมาคือ เสียดท้อง ซึ่งถือเป็นกรณีฉุกเฉิน ส่งผลถึงชีวิตได้ในเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง หากไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาไม่ถูกต้อง บางเคสต้องผ่าตัดด้วยซ้ำไป 

ถ้าบอกว่าม้าเสียดก็รักษาสิ คำถามคือคุณเคยรักษาม้าเสียดมั้ยครับ คุณเคยเห็นมั้ยว่าอาการเป็นอย่างไร คุณทราบขั้นตอนในการรักษามั้ย ถ้ามันสามารถทำได้ขณะที่ม้านอนอยู่แบบนั้นชีวิตหมอม้าอย่างผมคงสบายขึ้นอีกเยอะ

อีกปัญหานึงคือการนอนนานๆ ก็คือการเกิดแผลกดทับครับ แผลกดทับเป็นอย่างไร ก็ไม่น่าจะต้องอธิบายมากนะครับ เรื่องแบบนี้น่าจะเข้าใจกันได้

......................................................................................................

ถ้าท่านจะรับอุปการะม้าตัวนี้ ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดูเค้าทรมาน และตายไปเองในที่สุด ท่านสามารถลงชื่อได้ที่ลิงค์นี้เลยครับ 
UPDATE เคสต่างๆ JULY 2013

ที่กล่าวม้าทั้งหมดนี้จะเห็นว่าตัวผมเอง มีความเห็นที่ชัดเจนว่าเห็นสมควรให้ Put to sleep เนื่องจากเห็นว่าหากให้ม้าตัวนี้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ต่อไป ก็จะมีแต่ความทรมานจนกว่าจะตาย 

หากท่านคิดว่าการยื้อชีวิตเป็นการทำบุญ ผมไม่สามารถขัดศรัทธาของทุกท่านได้ แต่ท่านควรเตือนตัวเองสักนิดว่าตลอดเวลาที่ท่านยื้อชีวิตนี้ไว้ ชีวิตนี้จะต้องทนทรมานไปตลอด และทรมานมากขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะขาดใจตายไปเอง 

ท่านจะเลือกทางใด ท่านจะออกความเห็นว่าอย่างไร ท่านจะผรุสวาทออกมาหยาบคายเพียงใด ผมไม่สามารถห้ามได้ ท่านเลือกได้ด้วยตัวท่านเอง ว่าท่านจะมองเหตุการณ์นี้อย่างไร



***บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ถือเป็นบทความกึ่งวิชาการกึ่งตัดพ้อบทความหนึ่งเท่านั้น***

สำหรับเรื่องนี้...... เรื่องจริงมันเศร้า  เรื่องเล่ามันตลก.... ไม่ออกจริงๆ :(

น.สพ.ฐาปนา จารุธรรมสิริ
นายสัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลม้าโคราช

3 ความคิดเห็น:

agri20 กล่าวว่า...

การฆ่าสัตว์เป็นอกรณียกิจของสมณะ
อกรณียกิจ
1 ฆ่าสัตว์
2 ขโมยของ
3 เสพเมถุน
4 อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน
พระท่านเลยไม่ให้ฆ่า

Unknown กล่าวว่า...

แต่การเมตตาฆาต(euthanasia) ก็เป็นจรรยาบรรณทางสัตวแพทย์อย่างหนึ่งเช่นกัน
การเมตตาฆาตนั้นไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่หมอเค้าตัดสินใจที่จะทำตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น แต่เค้าพินิจพิจารณามาอย่างดีแล้วถึงผลได้และผลเสีย ถึงออกปากให้ทำ

Unknown กล่าวว่า...

เข้าใจแล้วค้าหมอม้า เห็นใจหัวอกคนเป็นหมอม้านะ เข้าข้างท่านอย่างแรงแซงตุ๊เจ้าค่ะหมอ