วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"คุณ" เป็นหนึ่งใน "ใคร" คนนั้นหรือเปล่า?

ถ้าปรึกษาเรื่องเคส ถามการป้องกัน การดูแลสุขภาพ หรือความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับม้า ผมยินดีบอกครับ ยินดีที่จะคุยด้วยเป็นอย่างยิ่ง

แต่ถ้าถามว่าม้าเป็นแบบนั้นแบบนี้ ลองรักษาแล้วไม่หาย จะให้ยาอะไรดี หาซื้อยามาฉีดเองอะไรเองนี่ขอบายนะครับ

ถ้าผมบอกอะไรไปแล้วก็ไปให้ยากันเองจนม้าหาย คราวหน้าไม่เรียกหมอแน่ๆ ไม่สิ แม้แต่จะโทรถามยังไม่เลย ก็ให้ยากันเองไป ม้าเป็นอะไรก็ยังไม่รู้ มันเป็นคล้ายๆ ตัวนั้นอ่ะ ให้ยานั้นยานี้สิ แล้วพอไม่หาย อาการแย่ จะขาดใจอยู่ตรงหน้าก็ค่อยโทรมา วนกลับเข้าวงจรอุบาทว์เหมือนเดิม ถ้าจะเล่นวนเวียนกันในวงจรอุบาทว์ก็ตามสบายครับ ส่วนผมขอบายจริงๆ

ผมไม่ได้ตรวจร่างกายม้า ไม่ได้ประเมินสภาพด้วยตนเอง ผมไม่กล้าจริงๆ ที่จะให้ยาอะไร เพราะผมวินิจฉัยไม่ได้ครับ ทำได้ก็แค่เดาเท่านั้น ผมไม่เก่งครับ ไม่เก่งเท่าเทรนเนอร์แน่ๆ ผมไม่ได้อยู่กับม้ามาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้อยู่กับม้ามาตลอดชีวิต เหมือน "ใคร"

ผมไม่มีความกล้านั้น นับถือความกล้าของ "ใคร" บางคนจริงๆ ไม่รู้ว่าม้าป่วยเป็นอะไร ก็ป้อนยา ฉีดยากันไปได้สารพัด

ว่าแต่ "คุณ" เป็นหนึ่งใน "ใคร" คนนั้นหรือเปล่าครับ?

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ชี้แจง "ขอความช่วยเหลือด่วนครับวิธีรักษาม้าเสียดท้อง"

ขอชี้แจงต่อจากบทความ "ขอความช่วยเหลือด่วนครับวิธีรักษาม้าเสียดท้อง" สักหน่อย ประเด็นหลักๆ ที่ต้องมาทำความเข้าใจกันโดยด่วน ก็ดังต่อไปนี้ครับ


ม้าเสียดก็แนะนำให้กรอกสารพัดสิ่งเข้าไป มีอะไรยัดใส่ปากมันไปเดี๋ยวหาย กรอกน้ำมันพืช กรอกกฤษณากลั่น กรอกยาธาตุน้ำแดง ให้ดื่มน้ำหรือกรอกน้ำเยอะๆ

ผมไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดถึงมีคำแนะนำนี้เกิดขึ้นมา อาจจะคิดว่าการกรอกกฤษณากลั่นและยาธาตุน้ำแดงช่วยขับลม ให้ม้าตดหรือเรอออกมา ซึ่งบ้าไปแล้ว อาจจะเพราะคิดว่าน้ำมันพืชจะช่วยให้ลำไส้ลื่นขึ้นแล้วสิ่งที่อุดตันนั้นจะเลื่อนหลุดไปได้ ซึ่งถามว่าใช้ได้มั้ย เข้าใจถูกมั้ย ก็ถือว่าเข้าใจถูกครับ น้ำมันพืชช่วยให้อึนิ่มด้วย.......... 

แล้วทำไมการกรอกอะไรเข้าไปมันถึงไม่ดี?

ปัญหาจากการกรอกสารพัดสิ่งมั่วๆ เข้าไป มันจะเกิดเมื่อม้าเสียดแล้วมี Gastric reflux นี่แหละครับ เอ๊ะ แล้วมันหมายความว่าอะไร? Gastric reflux หมายความว่ามีอาหาร หรือน้ำ ไหลย้อนกลับมาที่กระเพาะอาหารครับ คุณอาจจะคิดว่าเดี๋ยวมันก็อ้วกออกมาเอง ถ้าคิดแบบนี้ คุณคือจุดอ่อนครับ เพราะธรรมชาติม้าอ้วกไม่ได้ครับ เรอก็ไม่ได้ ลองจินตนาการว่าถ้ามันไหลย้อนออกมาชั่วโมงละ 2-3 ลิตร ต่อเนื่องกันเรื่อยๆ ร่วมกับคุณกรอกสารพัดสิ่งเข้าไปมันจะเกิดอะไรขึ้น.......

กระเพาะอาหารแตกครับ!! ถ้าแตกแล้วคุณเตรียมเรียกรถด่วนเลย ไม่ใช่รถขนม้าไปโรงพยาบาลนะครับ รถขุดดินมาขุดหลุมรอครับ เพราะกระเพาะอาหารม้าที่น้ำหนักประมาณ 500 กิโลกรัมนั้น มีความจุไม่เกิน 18-20 ลิตรเท่านั้น! เท่ากับถังสีเท่านั้น ยิ่งม้าเล็กก็ยิ่งเล็กตามไปด้วย และขอย้ำครับว่าม้าเป็นสัตว์กระเพาะเดี่ยวต่างกับวัวควายโดยสิ้นเชิง อย่ามั่ว!!
เมื่อรู้แบบนี้แล้วคุณยังจะกล้ากรอกอะไรลงไปมั่วๆ อีกมั้ย? ถ้ากล้าผมก็ขอยืนไว้อาลัยให้กับม้าของคุณที่ต้องมาเจอกับเจ้าของแบบนี้ ถือว่าเป็นเวรกรรมแต่ชาติปางก่อนก็แล้วกัน

ถ้าคุณจะบอกว่าก็เคยกรอกแล้วไม่เป็นอะไร หายด้วย ก็ถือว่าม้าตัวนั้นโชคดีที่เสียดแบบที่ไม่มี Gastric reflux กรอกไปเลยไม่ส่งผลเสียมากนัก (แต่ช่วยมั้ย ไม่มีใครบอกได้)
และอีกอย่างนึงที่ผมไม่พูดก็คงไม่ได้ การสอดท่อถ้าสอดไม่ดีเข้าหลอดลมนะครับ หลายคนบอกว่าม้าจะไอเวลาเข้าหลอดลม แต่ไม่เสมอไป ม้าบางตัวท่อเข้าหลอดลมก็ไม่มีอาการไอ ถ้าคุณสอดเข้าไปแล้วม้าไม่ไอแล้วคุณกรอกอะไรลงไปก็เตรียมเรียกรถครับ รถขุดดินเช่นเดิม

แล้วก็การกรอกยาแบบเอายาใส่ท่อพีวีซีใหญ่ๆ แล้วจับหน้าม้ายกขึ้นแล้วเทพรวดลงไปน่ะ เข้าปอดมานักต่อนักแล้ว เพราะเวลาม้าเงยหน้า ตำแหน่งของหลอดลมจะมารับกับสิ่งของที่กรอกเข้าไปพอดี นึกถึงเวลาที่คุณวิ่งเหนื่อยๆ สิ คุณยังเงยหน้าเพื่อที่จะหายใจเลย เพราะอะไรเคยคิดมั้ย เพราะลักษณะทางกายวิภาคมันเป็นเช่นนั้น เงยหน้าแล้วหายใจสะดวกขึ้นไง กายวิภาคในส่วนนี้ของคนกับม้าก็ไม่ต่างกันนัก

..............

โดยธรรมชาติม้าสามารถอั้นอุจจาระได้นาน 1-2 วัน





ถ้าปกติคุณขี้เช้า-เย็น แล้ววันนึงคุณไม่ได้ขี้เลยคุณยังคิดว่ามันธรรมชาติมั้ย ปกติม้าขี้วันนึงเป็นสิบกอง แล้วไม่ขี้ 1-2 วัน นี่คุณกล้าบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมชาติอีกหรือ
เรื่องขี้เป็นเรื่องธรรมชาติ และถ้าม้าขี้ด้วยความถี่ ปริมาณ และลักษณะขี้ ที่ผิดไปจากปกติ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติแล้วครับ ลองไปอ่านเรื่องขี้ๆ ที่ผมเคยเขียนไว้ก็แล้วกันนะ


.........

หลายคนแนะนำให้จูงม้าเดิน เมื่อม้าเริ่มมีอาการเสียด

ข้อนี้ขอปรบมือให้ครับ เพราะการจูงม้าเดินนั้นส่งผลดีกับม้าครับ เพราะการเดินจะช่วยกระตุ้นการเคลื่อนที่ของทางเดินอาหาร และกระตุ้นให้ม้าขับถ่าย การเดินจะช่วยให้ม้าลดความเจ็บปวดลงได้เล็กน้อย การเดินช่วยป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดจากการที่ม้าล้มตัวลงนอนบนพื้น หรือลงไปนอนกลิ้งได้ และที่สำคัญคือ เมื่อม้าเริ่มแสดงอาการเสียดเล็กน้อย การจูงม้าเดินเป็นวิธีรักษาเบื้องต้นที่คุณทำได้เองทันทีเลยครับ

..........

ล้วงเอาขี้ที่ค้างอยู่ออก แล้วก็สอดท่อกรอกยา หลายคนบอกว่าหมอก็ทำ

อยากจะบอกเหลือเกินว่า "สิ่งที่เป็นกับสิ่งที่เห็นมันไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน"
เวลาหมอไปรักษาแล้วล้วงก้นเอาขี้ออกหมอไม่ได้ช่วยเอาขี้ออกเพื่อให้ขี้ที่ค้างอยู่ออกไปจนหมดนะครับ ที่ล้วงออกก็เพราะว่าจะได้คลำตรวจลำไส้ดูได้ชัดเจนขึ้นว่ามีความผิดปกติอย่างไรบ้าง เงิบสิ

ลองคิดดูครับว่าแขนเรายาวเท่าไหร่ แล้วตัวม้ายาวเท่าไหร่ แล้วแขนเราเข้าไปได้แค่ไหน แล้วถ้ามันอุดตันที่ลำไส้เล็กหรือที่ลำไส้ใหญ่ส่วนที่อยู่ตรงท้องม้าอ่ะ จะล้วงขี้ออกมายังไงครับ ใช้ Common sense กันนิดนึง ก็จะรู้ว่าหมอไม่ได้ล้วงขี้ออกเพื่อให้ม้าหายมันทำไม่ได้ครับ ถ้าจะทำได้ก็คงต้องพี่งแม่นาคเท่านั้น

แล้วการสอดท่อน่ะ หมอไม่ได้สอดเพื่อกรอกอะไรเข้าไป หมอต้องการจะตรวจว่ามี Gastric reflux หรือไม่ จะได้ประเมินได้ว่าที่ม้าเสียดน่ะ มันน่าจะมีปัญหาที่ลำไส้ส่วนใด แล้วจะรักษาอย่างไร และการที่จะบอกว่ามีหรือไม่มี Gastric reflux มั้ย มันต้องมีหลักการในการดู หลักการในการคิดคำนวณด้วย ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าสอดๆ ไปก็จบ อย่างที่ทำๆ กัน และหมอไม่ได้แค่กรอกยาครับ เข้าใจเสียใหม่ด้วย

..........


ให้น้ำเกลือ

การที่หมอให้น้ำเกลือก็เพื่อรักษาภาวะแห้งน้ำ dehydration และต้องการที่จะให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Overhydration เพื่อให้น้ำจากเลือดเข้าสู่ลำไส้เพื่อให้ก้อนอาหารที่แพ็คแน่นนั้น มันหลุดออกและเคลื่อนผ่านไปได้ หลักการดูดีเลยทีเดียว งั้นที่ให้กันมั่วๆ เองสัก 2000 ซีซีบ้าง 4000 ซีซีบ้าง นั้นมันก็น่าจะดีใช่มั้ย ขอบอกว่าเอาน้ำเกลือที่ให้ไป 2-4 ลิตรนั้นน่ะ ตัดเปิดปากขวดกว้างๆ แล้วเอาราดตัวม้า เช็ดหน้าเช็ดตาเพื่อความสดชื่นของม้าน่าจะดีกว่า เพราะถ้าคำนวณอัตราการให้น้ำเกลือ และปริมาณน้ำเกลือที่ต้องให้แล้วมันได้แค่ไม่ถึง 10% ของที่ต้องการเท่านั้น และผมเชื่อว่าพอผมบอกแบบนี้ก็จะมีคนลองคำนวณกลับว่างั้นควรให้เยอะๆ ไปเลย ก็ขอบอกว่าไม่ถูกต้องอีกนั่นแหละ เพราะการให้น้ำเกลือไม่ใช่แค่ปริมาณ แต่มันขึ้นอยู่กับวิธีการ และการประเมินสภาพม้า ที่หมอเรียกว่าการวินิจฉัยร่วมด้วย

...............


น่าจะหมดแล้วนะ....


ที่อยากจะฝากให้คิดดูคือ

คุณอย่าลืมว่าคนที่มาบอกวิธีรักษาที่เค้าเคยทำแล้วได้ผลน่ะ เค้าบอกความจริงคุณแค่ครึ่งเดียว

โปรดฟังอีกครั้ง

เค้าบอกความจริงคุณแค่ครึ่งเดียว

เพราะตัวที่รักษาไปมั่วๆ แล้วตายน่ะ เค้าไม่บอกคุณหรอก และเหตุผลที่ตายเค้าก็มักจะคิดกันว่าม้าเป็นหนักมากเลยช่วยอะไรไม่ได้ โทษม้าเช่นเคย ไม่ค่อยคิดทบทวนแล้วโทษคนในกระจกกันหรอก ม้าเสียดเพราะอะไร ก็โทษความซวย โทษม้า โทษตัวเองกันบ้างสิเฮ้ย จะได้คิดปรับปรุงพัฒนาอะไรกันบ้าง พี่น้องค้าบบบบบ

ม้าเสียดแบบไหนคุณยังไม่รู้เลย คุณยังไม่ได้ประเมินด้วยซ้ำไป คุณไม่เห็นม้าด้วยซ้ำไป คุณไม่ได้ซักประวัติอะไรเลย แต่คุณก็แนะนำไปแบบนั้น ซึ่งมันอันตรายครับ ม้าต้องมาเสี่ยงชีวิตจากความไม่รู้ของพวกคุณ อันตรายสำหรับเจ้าของก็คือเสียม้า เสียเงิน เสียใจ แต่เจ้าของไม่เสียชีวิตแน่ๆ ม้าตายก็ซื้อใหม่ได้ คนแนะนำที่มั่วๆ กันก็หายเข้ากลีบเมฆไปไม่ต้องรับผิดชอบอะไร หรือไม่ก็บอกว่าม้ามันเป็นหนัก โทษแต่ม้า ไม่เคยโทษคนในกระจกบ้างเลยนะพวกคุณ

(อารมณ์บวกกับความปากหมาล้วนๆ ขออภัยมา ณ ที่นี้)

........................

อ่านมาถึงตรงนี้คุณคงจะเห็นว่าสิ่งสำคัญของการรักษาแท้จริงแล้วไม่ใช่การรักษา แต่มันคือการวินิจฉัย

ถ้าคุณจะเข้าใจการวินิจฉัยว่าต้องทำอย่างไร คุณต้องมีพื้นฐานความรู้เสียก่อน ซึ่งก็หาไม่ยากเท่าไหร่ครับ แค่คุณเรียนมัธยมปลายสายวิทย์-คณิต และสอบเข้าสัตวแพทย์ แล้วเรียนสัตวแพทย์ 6 ปีเท่านั้นเอง แล้วก็ต้องฝึกงานเฉพาะทางเรื่องม้าด้วย คุณก็จะสามารถวินิจฉัยได้แล้ว 

ถ้าสิ่งทีผมเสนอมันยากไป ผมและหมอม้าหลายๆ คนก็พร้อมที่จะช่วยคุณ ในเรื่องการจัดการการเลี้ยงม้า เพื่อลดปัญหาการเสียดท้อง รวมถึงปัญหาอื่นๆ ที่เกิดจากการจัดการการเลี้ยงม้าที่ไม่เหมาะสม ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค ดีกว่าการตามรักษาเยอะครับ 

หมอม้าในประเทศไทยมีไม่ถึง 50 คน ม้าในประเทศมีเท่าไหร่กัน หมอจำนวนหยิบมือเท่านี้ช่วยคุณได้ไม่ทุกคนหรอกครับ เพราะฉะนั้นคุณต้องช่วยตัวคุณเองก่อนเป็นอันดับแรก เพราะว่าถ้าคุณจัดการการเลี้ยงได้ดีแล้ว คุณก็ไม่ต้องมานั่งปวดหัวเวลาม้าป่วยครับ และที่สำคัญชีวิตที่อยู่ในกำมือคุณก็จะได้ไม่ต้องทรมานจากน้ำมือคุณด้วย

จะดีกว่ามั้ย ถ้าเราจะเจอกันในสถานการณ์ชิวๆ บ้าง ไม่ใช่ม้าอาการแย่แล้วค่อยเจอกัน มันเหนื่อยนะ


ห๊ะ อะไรนะ ไม่เหนื่อยเหรอ? เฮ้อออออออออออ - -"

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความภาคภูมิใจในความป่าเถื่อน และ ความไม่เข้าใจในธรรมชาติของม้า

"มึงเยอะละ มึงจะเยอะไปละ!"

ผมได้ยินเสียงตะคอกแบบนี้ พร้อมกับเห็นค้อนกระทุ้งเข้าไปตรงหน้าอกของม้าสองสามทีติดกัน

"เป็นไงล่ะมึง ซ่านัก"

คำพูดนี้มาพร้อมกับอาการที่ม้าพยายามเบี่ยงตัวหลบออกจากค้อนที่กระแทกเข้ามาที่หน้าอก ด้วยแววตาที่ตื่นกลัว พร้อมด้วยรอยยิ้มที่กระหยิ่มยิ้มย่องภาคภูมิใจในความป่าเถื่อนของตัวเอง และยังหันไปยักคิ้วกับเพื่อนและรุ่นน้องที่ตามมาเป็นลูกมือ เหมือนกับจะสื่อว่ามันต้องแบบนี้ถึงจะเอาม้าอยู่ ม้าถึงจะยอม ส่งต่อความคิด จิตวิญญาณ และความป่าเถื่อนอย่างทั่วถึงกัน

เหตุการณ์ก่อนหน้านี้คือ ม้าไม่ยอมยืนนิ่งให้ช่างเกือกตัดแต่งและใส่เกือกได้ถนัด พยายามดึงขาออกตลอด และเบี่ยงตัวหลบตลอด คนรอบข้างที่เห็นก็คงจะมองว่ามันช่างเป็นอะไรที่น่ารำคาญ ทำไมม้าถึงได้นิสัยเสียแบบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครสนใจและเอาใจใส่เลย คือม้ามันกำลังบอกเราว่าอะไร และมันตอบสนองแบบนั้นเพราะอะไร

การที่ม้าพยายามดึงขาออก และเบี่ยงตัวหลบ มันกำลังบอกเราว่ามันกำลังกลัวกับการที่จะต้องถูกมนุษย์ยกขาและมาทำอะไรบางอย่างกับกีบของมันที่มันไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ ม้าเป็นสัตว์ที่เป็นเหยื่อในธรรมชาติ ไม่ได้เป็นผู้ล่า สัญชาติญาณเมื่อเจอสิ่งที่มีอันตรายก็มักจะเป็น Flight ไม่ใช่ Fight ม้าเลือกที่จะหนีออกจากสิ่งที่ทำให้เจ็บ ทำให้กลัว สิ่งที่ไม่ปลอดภัยทั้งหลาย และเหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้ม้ากลัวก็ความเจ็บจากการยกขาม้าที่สูงและดึงขาม้าออกมาจากแนวกลางตัวมากเกินไป เมื่อม้าเจ็บมันก็กลัว เมื่อมันกลัวมันก็หนี ง่ายๆ แบบนั้นเอง

.......

แต่เมื่อมันพยายามหนีเพราะว่ามันกลัว สิ่งที่มันได้รับก็คือแรงกระแทกของหัวค้อนที่เข้ามาที่หน้าอก ที่ทำให้มันเจ็บ และยิ่งกลัวมากกว่าเดิม เป็นการตอกย้ำความคิดเดิมของมันว่า การอยู่กับคนที่มีลักษณะแบบนี้มันไม่ปลอดภัยจริงๆ ต้องเจ็บตัวเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่มันก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ไกลเพราะขลุมที่ใส่และเชือกที่ขึงโยงเอาไว้ให้อยู่กับที่ ทุกครั้งที่เจอกับมนุษย์ที่ใส่กางเกงหนัง มีมีดในมือ มีตะไบ มีเสียงตีเหล็ก สมองของมันจะเตือนตัวเองทันทีว่า เดี๋ยวได้เจ็บตัวแน่ๆ และเหมือนเดิมสัญชาตญาณบอกให้หนี แต่ก็ทำได้แค่เบี่ยงตัวหลบ และดึงขาออกจากคนๆ นั้น แต่เมื่อมันพยายามหนีเพราะว่ามันกลัว สิ่งที่ได้มันได้รับก็คือแรงกระแทกของหัวค้อนที่เข้ามาที่อก ทำให้มันเจ็บ และยิ่งกลัวมากกว่าเดิม เป็นการตอกย้ำความคิดเดิมของมันว่า การอยู่กับคนที่มีลักษณะแบบนี้มันไม่ปลอดภัยจริงๆ ต้องเจ็บตัวเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่มันก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ไกลเพราะขลุมที่ใส่และเชือกที่ขึงโยงเอาไว้..........


เหตุการณ์เกิดขึ้นวนไปแบบนี้ไม่จบไม่สิ้นเสียทีตราบใดก็ตามที่คนยังไม่เข้าใจธรรมชาติม้า และโยนความผิดทั้งหมดให้ไอ้ม้าดื้อ และสั่งสอนมันซะ


.........


ถ้าคุณเป็นม้าตัวนี้ คุณจะทำอย่างไร? ช่วยบอกที...

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จ่ายแพงกว่าทำไม?

หลายๆ ท่านอาจเคยได้ยินดรื่องการกัดเดลื่อนมาบ้างไม่มากก็น้อย เหตุผลที่เกลื่อนก็แตกต่างกันไป แต่เหตุผลหนึ่งที่ฟังดูแล้วมันแปลก และย้อนแย้งในตัวเองก็คือ เอาไปผ่าตัดกับหมอมันแพง เลยเกลื่อนเอง ลองอ่านดูสักนิด แล้วคิดตามครับ

1. เกลื่อนเข่า เพื่อให้กระดูกออกมา เป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น กระดูกที่แตกไม่ได้ลอยไปมาอย่างอิสระภายในข้อ และถึงตอนเกลื่อนจะมีกระดูกออกมา นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะตอนที่หมอผ่าตัด จะต้องดูด้วยว่ามีการแตกอื่นๆ ที่ไม่เห็นใน x-ray อีกหรือไม่ สภาพเนื้อกระดูกเป็นอย่างไร เส้นเอ็นภายในเข่ามีการฉีกขาดหรือไม่ อย่างไร

2. เท่าที่ทราบจากเทรนเนอร์ หลังเกลื่อนเข่า (ซึ่งเป็นวิธีที่ทรมานม้า) จะต้องพักม้าเป็นเวลานาน 8-9 เดือน เพื่อให้แผลหายดี เพราะแผลที่เข่านั้นจะเป็นเรื้อรังไปนาน ถ้าลองคำนวณค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงเฉลี่ยต่อเดือน เดือนละ 10000-12000 ก็ตกเป็นเงิน 80000-108000 ไม่รวมค่ายารักษาแผลต่างๆ

3.  การนำม้ามาผ่าตัดในกรณีกระดูกแตกกับสัตวแพทย์ ค่าตรวจและวินิจฉัยประมาณ 3000-5000 บาท ค่าผ่าตัด ~30000 บาท ค่าฉีดยาเข้าเข่ารวมทั้งหมดไม่เกิน 10000 บาท พักม้า 4-5 เดือนเป็นเงิน 40000-60000 รวมค่าใช้จ่ายก็ตกเป็นเงินประมาณ 100000 บาท
เห็นความต่างของค่าใช้จ่ายมั้ยครับ?


ต่างกันประมาณนี้ ไม่ทราบว่าจะใช้วิธีของหมอผีทั้งหลาย.... เพื่อออออ!?


คิดสิคิด

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"แค่อยากจะบอก"

ผมเป็นหมอม้าคนนึงที่เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกีบม้า และวงการม้า ไม่ว่าจะเป็นม้าขี่เล่น ม้ากีฬา ม้าลากรถ และม้าแข่ง แต่ละที่ก็จะมีปัญหาที่แตกต่างกันไปขึ้นกับธรรมชาติของการใช้งานม้า

เหมือนคนที่ประกอบอาชีพต่างกันก็มักจะมีปัญหาสุขภาพต่างกัน คนที่ยกของหนักมากๆ ก็มักจะปวดหลัง คนที่ต้องยืนนานๆ ก็เส้นเลือดขอด ประมาณนั้น

ม้าก็เช่นกัน ปัญหาที่เกิดจากการใช้งานนั้นเราอาจจะต้องทำใจที่จะต้องพบเจอกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนมองข้ามไป คือเรื่องของการป้องกันปัญหา

ทำไม? เราต้องมาหาวิธีการสารพัดในการรักษา
ทำไม? เราถึงมานั่งภาคภูมิใจเมื่อเราสามารถหาวิธีที่ทำให้ม้าหายจากอาการไม่ปกติเหล่านั้น
ทำไม? ม้าถึงต้องเจอการลองผิดลองถูกในการรักษา การให้ยา จากคนที่ไม่รู้จริงๆ ว่าวิธีการนั้นมันควรทำหรือไม่ควร แค่ลองทำไป เค้าว่ากันว่ามันได้ผลก็ลองกันไป ลองถูกก็โชคดี ลองผิดม้าก็ซวย
ทำไม? ม้าถึงได้มีปัญหาสุขภาพ และเป็นปัญหาเดิมๆ คล้ายๆ กัน จนเรามองว่าปัญหานั้นเป็นเรื่องปกติ
"อ๋อ ม้าเป็นแบบนี้ก็ต้องรักษาแบบนั้น"
 ..........


ทำไม? เราถึงไม่ตั้งคำถามว่า "ทำไม"


หลายครั้งในชีวิตเราเจอปัญหา แล้วก็แก้ปัญหาไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ได้ฉุกคิดเลยว่า "ทำไม" มันถึงเกิดปัญหา สาเหตุคืออะไร แล้วเราป้องกันปัญหาได้มั้ย

หรือว่าพอหาสาเหตุปัญหาแล้วกลับมาพบว่า ต้นเหตุนั้นคือตนเอง เลยรับไม่ได้ ก็เลยปล่อยให้เกิดปัญหาต่อไป

คำถามคือ "เพื่อออออ!!?"


"รู้แต่ไม่ลงมือทำ มีค่าเท่ากับไม่รู้"


นะครับ

ขอความช่วยเหลือด่วนครับวิธีรักษาม้าเสียดท้อง

ผมเคยอ่านกระทู้นี้ตั้งแต่เป็นกระทู้เก่าในเว็บไซต์ซื้อขายม้าชื่อดังแห่งหนึ่งจนกระทั่งตอนนี้เค้าย้ายเว็บไซต์แล้วก็นึกว่าเรื่องนี้จะหายไปสักที แต่ก็มีการย้ายกระทู้นี้มาด้วย ลองไปหาอ่านกันในอากู๋ได้ครับ

ในฐานะสัตวแพทย์ที่รักษาม้าคนหนึ่ง ความรู้สึกหลังจากที่อ่านไปได้ไม่กี่คอมเมนต์ คือ "นี่มันเหี้ยอะไรเนี่ย"
ผมไม่ได้หยาบคาย แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะสิ่งที่เรียกว่าการรักษาม้าเสียดท้องในกระทู้นี้มันช่างอเมซิ่งสุดแสนลึกล้ำเหลือเกิน

ผมเคยคิดว่า ปล่อยวางละกัน เพราะถ้าไปคอมเมนต์อะไรก็เหมือนการล่อเป้าให้เค้ามาด่า พูดอะไรไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ถ้าจะลงทุนอะไรสักอย่าง มันต้องได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าสิ.....


แต่ผมลืมคิดไปว่าผมไม่มีอะไรจะเสีย ไปมากกว่าเวลา ซึ่งถ้ามันจะแลกมากับผลประโยชน์ที่ม้าจะได้ ผมว่ามันคุ้ม



เอาล่ะเกริ่นมานาน เริ่มเลยก็แล้วกัน

............................


เริ่มจากมีคนมาโพสต์ขอความช่วยเหลือเพราะว่าม้าเสียด ปรึกษาหมอปศุสัตว์แล้วบอกให้กรอกน้ำมันพืช 20 CC และให้จูงม้าเดิน อย่าให้นอนกลิ้ง ปรากฏว่ามาถ่ายออกมา 1 กอง แต่อาการไม่ดีขึ้น เลยสงสัยว่าอาหารเป็นพิษร่วมด้วยเหรือไม่ ใครก็ได้ช่วยด้วย ม้าผมเป็นอะไร รักษายังไงบ้างแนะนำที





หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนเข้ามาแนะนำวิธีการรักษาสารพัดสารเพ อันประกอบไปด้วย



ม้าน่าจะเสียดนะครับ กรอกน้ำมันพืชด้วยครับ กฤษณากลั่นก็ดีครับกรอกเลยครับ ผสมเหล้าขาวนิดนึงกำลังแซ่บเลยครับ (เอ๊ะ ไม่ใช่สิ) กรอกยาแล้วให้ตีวงให้ถ่ายหรือผายลมบ่อยๆ ครับ ถ้าหนักมากๆ ต้องให้น้ำเกลือด้วยครับ



ส่วนพี่คนนี้เคยใช้ยาธาตุน้ำแดงผสมกฤษณากลั่น กรอก แล้วให้จูงวิ่ง แล้วหายครับ โอ้ว พระเจ้ายอดมันจอร์จม๊ากกก




แล้วก็เริ่มมีมาให้ความรู้ เริ่มให้สังเกตอาการม้าว่าเป็นอย่างไร เสียดจริงหรือไม่ประมาณนั้นจากนั้นก็แนะนำวิธีการรักษา ซึ่งมันดูง่ายเหลือเกินนะนี่นะ แต่ถ้าไม่ดีขึ้นก็ต้องหาสาเหตุกันใหม่นะครับ อาจจะไม่เสียดนะครับ





แต่เสียดายที่วิธีการที่บอกมานั้น กว่าจะสังเกตได้อาการม้าก็หนักแล้ว และวิธีการรักษาที่แนะนำแต่ละคอมเมนต์นี่ถ้าไม่หายนี่มันก็ไม่แปลกล่ะครับ




ผมล่ะรักคอมเมนต์นี้เหลือเกิน ทำไมพี่ไม่มาคอมเมนต์เร็วๆ ครับ ตามหมอสิครับ ตามหมอ



แต่พี่ดันมาตกม้าตายตอนท้ายว่าหมอสอดท่อเพื่อกรอกยาแล้วจะช่วยให้หายเร็วขึ้น ไม่ใช่นะครับ




จากนั้นก็เริ่มมี "ผู้รู้" มาให้ข้อมูลและสาเหตุของการเสียด




ถึงแม้ข้อความโดยรวมจะดูน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังมีส่วนที่เข้าใจผิดรวมกันอยู่ ซึ่งมันอาจจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าข้อมูลทั้งหมดนั้นถูกต้อง ซึ่งมันอันตรายมากครับ อย่างเช่นที่บอกว่าการเสียดท้องในม้ามาจาก 2 กรณี เหมือนจะบอกถึงสาเหตุที่ทำให้ม้าเสียด แต่กลับไปบอกประเภทอาการของม้าเสียดท้องแทน

แล้วก็มีคนเข้าตอบทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยแตกต่างกันไป แต่มีจุดที่น่าสนใจคือเรื่องอ้อยครับ




เรื่องอ้อยนี่น่าสนใจครับ และสามารถนำไปสู่ประเด็นปัญหาหลักๆ ที่ทำให้ม้าเสียดได้ (ซึ่งผมจะอธิบายทั้งหมดในบทความต่อไป)

แล้วผู้รุ้ท่านเดิมก็เข้ามาไขข้องใจ ด้วยข้อมูลที่ดูแปลกๆ และยังไม่มีผลทดสอบที่แน่ชัด (พอเข้าใจนะครับ)



ประเด็นที่น่าสนใจในคอมเมนต์นี้คือ อาหารหลายๆ อย่างที่เราไม่ควรให้ม้ากิน ซึ่งผมจะขยายความในบทความต่อไป

(จะได้ดูน่าติดตามนิดนึง)


หลังจากนั้น ไม่ทราบว่าเค้าไปคุยกันหลังไมค์อย่างไรหรือไม่ แต่ก็มีการสรุปเลยครับว่าม้าเป็นอะไรกันแน่!!



อ่านแล้วลองเดาดูนะครับว่าจุดไหนควรทำไม่ควรทำ โดยผมจะยกประเด็นที่สร้างความเข้าใจผิดอย่างยิ่งคือ "โดยธรรมชาติม้าสามารถอั้นอุจจาระได้ 1-2 วัน" เฮ้ย ถามจริงนี่มั่นใจจริงๆ เหรอที่พิมพ์ออกมาแบบนี้ คุณกำลังเข้าใจผิด และส่งต่อความเข้าใจที่คุณคิดว่าถูกนั้นให้คนอื่นๆ นะครับ


จากนั้นเจ้าของกระทู้ก็มากล่าวขอบคุณหลังจากที่ม้าหายป่วย หลังจากให้น้ำเกลือไปกระปุกครึ่ง....... เฮ้อออออ แล้วก็ถามต่อว่าให้หญ้าสดจะเป็นอะไรหรือเปล่า


"ผู้รู้" ซึ่งรู้จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ ก็มาอธิบายต่อไป





แล้วกระทู้ก็จบลงตรงนั้น ถึงจะมีคนมาถามต่อก็ไม่ได้มีการมาตอบคำถามแต่อย่างใด


สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ คงจะรู้สึกได้ว่าผมชี้ประเด็นและออกความเห็นที่ลำเอียงมาก แต่ไม่ได้มีเจตนาโจมตีใครแต่อย่างใด

สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นจากกระทู้นี้คือ 

การส่งต่อความรู้นั้น ผู้ถ่ายทอดควรมั่นใจและรู้จริงๆ ว่าสิ่งที่เรากำลังจะบอกต่อนั้นมันถูกต้องจริงๆ เพราะการส่งต่อความไม่รู้แบบในกระทู้นี้นั้นช่างอันตรายนัก มันส่งต่อกรอบความคิดผิดๆ ความเชื่อผิดๆ ความเข้าใจผิดๆ ต่อๆ กันไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด และผู้ที่ได้รับผลนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นก็คือตัวเหล่าคนเลี้ยงม้าเอง ที่อาจจะต้องเสียม้าไปเพราะความเชื่อแบบผิดๆ

หลังจากบทความนี้ออกไป อาจจะมีคนออกมาเถียงว่า เฮ้ย กูลองแล้วมันรักษาได้จริงๆ มันทำได้ มันหาย

โอเคครับผมไม่เถียง แต่วานท่านช่วยบอกเปอร์เซนต์การรอดของม้า จากวิธีการที่ท่านกล่าวอ้างว่าทำแล้วม้าหาย ทำแล้วได้ผล ผมขอฝากอีกหนึ่งคำถามไปถึงท่านผู้รู้ว่าท่านจะมั่นใจอะไรนักหนา(วะ) ว่าวิธีที่แนะนำอยู่นี้มันถูกต้อง และมันเป็นสิ่งที่ควรทำจริงๆ ถ้าท่านมีเหตุผลเพียงพอมากกว่าการมาเถียงๆ แถๆ ว่าลองทำแล้วมันหาย ค่อยมาคุยกันครับ หรือถ้าอยากถามคำถามผมก็ยินดีที่จะตอบ


แต่อย่างไรก็ดี วันนี้ผมคงจบบทความนี้ไว้เท่านี้ แล้วเราค่อยมาต่อกันในบทความหน้าที่ผมจะมาอธิบายให้ฟังว่า ที่ทำกันแต่ละอย่างเนี่ยอะไรดี อะไรไม่ดีอย่างไร ความเชื่ออันไหนที่มันผิดมหันต์ ข้อมูลใดที่มันครึ่งๆ กลางๆ และอันไหนที่มันถูกต้องบ้าง



แล้วเจอกัน ;)

ช่วงนี้ก็เข้าไปอ่านบทความเรื่องม้าเสียดท้องของโรงพยาบาลม้าโคราช เพื่อทำความเข้าใจกันไปพลางๆ ก่อนแล้วกันครับ

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

เรื่องขี้ๆ ที่บอกอะไรได้มากมาย

แดดแรงๆ ยามบ่ายที่แสนจะร้อนอบอ้าวอึดอัดส่องเข้ามาในที่ทำงานของผม ระหว่างที่กำลังแล่นเข้าไปชุมขนคนเลี้ยงม้ากลางเมืองย่าโม (คือผมใช้ชีวิตบนรถเป็นหลักครับ ที่ทำงานเลยวิ่งไปวิ่งมาได้) บ่ายวันนี้ผมมีนัดที่จะต้องตรวจม้าตัวนึง เมื่อไปถึงคอกม้าตามที่ได้นัดหมาย ก็พบกับเทรนเนอร์ผู้มีท่าทีจะเป็นผู้เชี่ยวชาญช่ำชองในการดูแลเอาใจใส่ม้า แล้วผมก็ดำเนินการตรวจม้าตามขั้นตอนต่างๆ ซึ่ง....... มักจะทำให้เทรนเนอร์หรือคนเลี้ยงหงุดหงิด เพราะผมถามจุกจิกจู้จี้จ้ำไชเกินกว่าที่เค้าคิดไปมากนัก

ม้าชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ เพศอะไร มีจู๋หรือมีจิ๋ม ................................ (ไล่ถามประวัติไปเรื่อย)

มันก็อาจจะไม่มีอะไรมากนัก หากผมไม่ไปสงสัยคำตอบตอบของคุณพี่เทรนเนอร์คำตอบนึง (ซึ่ง Make me wonder มากๆ อ่ะนะ)



เอ้า เริ่ม!!

หมอ: การขับถ่ายเป็นยังไงบ้างครับ อึเค้าเป็นยังไงบ้าง
พี่เทรน: ก็ปกตินะหมอ
หมอ: ปกตินี่ยังไงครับ เป็นก้อนๆ ไม่เหลวใช่มั้ย
พี่เทรน: ก็ขี้สมบูรณ์น่ะหมอ ม้ามันขี้แบบม้าสมบูรณ์น่ะ
หมอ: คือสมบูรณ์ของพี่กับสมบูรณ์ของผมมันอาจจะไม่เหมือนกันไงครับ ผมถึงได้ถามว่าเป็นยังไง
พี่เทรน: ก็ขี้ทั่วไปนั่นแหละ
หมอ: งั้นเค้าขี้ล่าสุดเมื่อไหร่ ทิ้งขี้ไปหรือยัง ผมขอดูหน่อย
..........
ถึงจุดนี้พี่เทรนถึงกับทำหน้าไม่พอใจ เพราะผมไปสงสัยขี้และขอดูขี้!! กูอุตส่าห์บอกมึงแล้วนะว่าม้ากูขี้แบบสมบูรณ์สุขภาพดี มึงจะอะไรนักหนา ไอ้คิ้วหนานี่

พี่เทรน: เนี่ยอยู่ในกระสอบหน้าคอกเนี่ย ลองไปดูก็ได้ ถ้าอยากดูมากนักอ่ะนะ
.............. พี่เทรนแกคงคิดว่ามันคงไม่ตามไปดูหรอกมั้ง แต่ที่ไหนได้พอพี่แกพูดจบปุ๊บผมก็เดินออกไปเปิดกระสอบเพื่อชมขี้ทันที!!!

สิ่งที่พบคือขี้เละๆ เหมือนขี้วัว ขี้กองนี้ถือว่าเป็นขี้ที่มีกลิ่นแรงมาก (เอ๊ะ แล้วขี้ที่ไหนหอม) คือมันแรงกว่าปกติทั่วไป และกลิ่นเปรี้ยวมาก รวมทั้งยังมีเศษข้าวโพดปนอยู่เต็มไปหมด ว่าแล้วก็เลยหันไปถามพี่เค้า

หมอ: ปกติเค้าขี้เละๆ แบบนี้เหรอครับ
พี่เทรน: ก็ถ้าม้ามันสมบูรณ์ ขี้มันจะเป็นอย่างงั้นแหละหมอ (พูดพร้อมทำหน้าเหยียดหยันเยาะเย้ยยึกยัก และคงคิดในใจว่าไอ้คิ้วหน้านี่มันเป็นหมอได้ยังไงนะ เรื่องขี้ๆ แค่นี้ทำไมถึงไม่รู้)
หมอ: ขี้นี่มันเละเกินไปนะครับ แล้วมันก็ไม่ใช่ขี้ม้าที่สมบูรณ์ มันเป็นขี้ม้าที่บ่งบอกว่าสุขภาพลำไส้ของม้าตัวนี้มันไม่สมบูรณ์
..........
อื้อหือ เท่านั้นแหละ ของขึ้นสิครับ ของขึ้น

พี่เทรน: ม้าแข่งมันต้องขี้แบบนี้แหละ จะมาขี้เป็นก้อนไม่ได้ มันไม่ดี ถ้าขี้เหลวเนี่ยมันสมบูรณ์นะหมอ!!
หมอ: ขี้ที่ดีคือขี้ที่ไม่เหลวแบบนี้ มันต้องเป็นก้อนกลมๆ แต่ไม่กลมแข็งเป็นเม็ดกระสุน มันต้องอยู่ระหว่างแข็งกับเหลวครับ ขี้เหลวมันบ่งบอกว่าลำไส้ม้าเป็นกรด พี่ให้อาหารวันละสองครั้งเช้าเย็นใช่มั้ย และมื้อนึงให้หลายกิโลใช้มั้ย!!
พี่เทรน: (ชะงักนิดนึง) ก็ให้เช้าเย็นนั่นแหละ แล้วตัวนี้มันผอมเนี่ยเห็นมั้ยหมอ ผมเลยต้องให้มันเยอะหน่อยเนี่ย
หมอ: กี่กิโลครับ มื้อนึง
พี่เทรน: รอบนึงก็ 5 ขันน่ะ ก็ประมาณ 5 โล ไม่งั้นไม่ไหวหรอก มันผอมแย่
หมอ: เฮ้ย พี่ ให้ 5 กิโลจริงๆ เหรอ มันโคตรเยอะเลยนะ (ผมพูดพร้อมกับทำหน้าตกใจ เหมือนพี่เค้ากำลังเอามีดเสียบอกม้าตัวนี้อยู่ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงเค้าก็ให้เยอะแน่ๆ)
พี่เทรน: ไม่งั้นจะทำยังไงหมอ ให้น้อยกว่านี้มันก็ผอม ให้กันแบบนี้เป็นปกตินั่นแหละ
หมอ: ก็เพราะให้แบบนี้ ม้าถึงได้ผอม แล้วขี้ถึงได้เละแบบนี้ไง ห่ารากกกก (คำว่า ห่าราก ได้เพียงอัดอั้นอยู่ข้างใน มิได้เอ่ยออกไป)

........................................................................................................................

เอาล่ะ ทีนี้มาทำความเข้าใจขี้ม้ากันนิดนึงนะครับ

ปกติแล้วขี้ม้านั้นต้องไม่เหลว และไม่แข็งจนเกินไป เป็นก้อนสวยงามมีความชุ่มชื้นกำลังดี เห็นขอบเขตของแต่ละก้อนชัดเจน ตกพื้นแล้วสามารถกระจายไปได้อย่างมีอิสรภาพเฉกเช่นที่ขี้ม้าที่ดีพึงจะมี มักจะแตกกระจายออกจากกันบ้าง จับกลุ่มบ้างเล็กน้อย ถ้านึกไม่ออก ดูภาพประกอบครับ (เป็นขี้ที่น่ารักจริงๆ เลยนะครับ เห็นแล้วปลื้ม)









แล้วขี้เหลวเนี่ยสุขภาพดีจริงมั้ย?

เท่าที่เขียนมาถึงบรรทัดนี้ถ้าอ่านแล้วยังเข้าใจว่าขี้เหลวๆ คือขี้ของม้าที่สุขภาพดีและสมบูรณ์ นี่ก็ขออนุโมทนาบุญนะครับ "บุญชิด" จริงๆ เลยครับ

ม้าที่ขี้มันเหลวๆ เนี่ยมันบ่งบอกถึงภาวะของลำไส้ที่เป็นกรดมากกว่าปกติ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่มนุษย์ทำเนี่ยพบบ่อยสุด แล้วก็ยืดอกรับอย่างภูมิใจว่า ปัญหานี้เนี่ยผมสร้างขึ้นมากับมือผมเองเลยนะครับ นี่ถ้าไม่รู้จริงเนี่ย ทำไม่ได้นะครับ

สาเหตุอันดับหนึ่ง (ที่ผมพบเจอ) คือให้อาหารมื้อนึงเยอะๆ แล้วก็ให้เช้าเย็นสองมื้อ......... ผมสรุป(เอาเอง) ว่าปัญหานี้เกิดจาก "ความมักง่าย" ของคนเรา แล้วก็อ้างว่า "ก็ให้แบบนี้แหละ ไม่เห็นม้ามันจะเป็นอะไรเลย" "ผมเลี้ยงม้ามาตั้งแต่ผมจำความได้ ก็ให้มาแบบนี้ รุ่นพ่อผมก็ให้มาแบบนี้ มันสืบทอดกันมา เลี้ยงกันมาแบบนี้"

เฮ้ย อิทส์อะเวรี่อะเมซิ่งเรียซั่น มั่กๆ นี่หรือที่เรียกว่าเหตุผล ที่บอกว่าให้แบบนี้ ม้าไม่เป็นอะไรเนี่ย คือไม่รู้จริงๆ ใช่มั้ย ว่าที่ม้ามันเสียด มันท้องเสีย มันป่วย มันตายเนี่ย ก็เพราะการให้อาหารแบบนี้นี่แหละ ห่ารากกกกกกกกก (ห่ารากอันนี้ จิ้งจกเดินผ่านคีย์บอร์ดนะ ผมป่าว)

เมื่อให้อาหารเม็ดมื้อนึงเยอะๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลำไส้เล็กจะบีบตัวเร็วขึ้น เพื่อที่จะดันอาหารเม็ดจำนวนมากพวกนี้ให้ผ่านไปเร็วขึ้น ผลที่ตามมาคือ เมื่ออาหารผ่านไปเร็ว ลำไส้เล็กก็ไม่สามารถย่อมและดูดซึมอาหารเหล่านี้ได้หมด จึงมีอาหารเม็ดตกไปยังลำไส้ใหญ่ (ปกติมื้อนึงรับได้แค่ไม่เกิน 2 kg สำหรับม้า 400 kg)

ใครซวยล่ะครับ ก็คงไม่พ้นลำไส้ใหญ่ก็รับกันไป 

ซึ่งลำไส้ใหญ่เนี่ย มันไม่ถูกกับอาหารเม็ดครับ ปกติมันหมักพวกหญ้า ฟาง อาหารหยาบต่างๆ เพื่อให้เกิดเป็นสารอาหารแล้วเอาไปใช้ ทีนี้มันต้องมาหมักอาหารเม็ดซึ่งมันไม่ใช่อ่ะนาย มันทำให้ลำไส้ใหญ่เป็นกรดอ่ะนาย พอเป็นกรดแล้วสิ่งที่มันเข้ามาก็คือน้ำนี่แหละครับ เมื่อน้ำในลำไส้เยอะกว่าปกติ มันจะไปไหนเสีย ก็ออกมาทางตูดนั่นแหละ ขี้ที่ออกมาไม่เหลวก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว

ทีนี้รู้ยังว่าทำไมม้าถึงผอม ทั้งๆ ที่ให้อาหารเยอะ แล้วขี้เหลวเนี่ยมันหมายความว่าสุขภาพดีจริงมั้ย ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็ทำตามที่เค้าว่ากันว่ากันต่อไป หมออย่างพวกผมก็ตามรักษากันไป รักษาทันก็รอดตาย รักษาไม่ไหวก็ตายกันไป หมอมันก็ทำได้เท่านี้แหละครับ ไม่ใช่เทวดา

นอกจากนี้แบคทีเรียดีๆ ที่ทำหน้าที่หมักหญ้าตามธรรมชาติเจอแบบนี้ก็ไม่ไหวอ่ะครับ Say goodbye กับลำไส้ใหญ่ทันที ว่าแล้วก็ฮาราคีรีชิงตายเสียดีกว่า ถ้าต้องอยู่กับลำไส้เป็นกรดแบบนี้ ผลที่ตามมานั้นใหญ่หลวงนัก ไว้ค่อยว่ากันทีหลังนะครับ 
...........

สำหรับตอนนี้ขอตัวไปขี้ก่อน



วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หมอเจ็บ

เรื่องบางเรื่องมันก็หาเหตุผลมาอธิบายยาก

เหตุการณ์เมื่อวันจันทร์คือ ผมแวะส่งผลเลือดให้กับเจ้าของม้าแห่งหนึ่ง เค้าก็ถามว่าม้ามันดูซึมๆ เพราะเพิ่งแยกแม่กับลูกออกจากกัน มันไม่ค่อยกินอาหาร เป็นอะไรมั้ย เราก็บอกให้ดูว่ากินหญ้าเป็นยังไง อาหารข้นที่ให้ไปนี่ของเดิมหรือเปล่า ดูพวกนี้ก่อน ดูด้วยว่าม้าขับถ่ายเป็นยังไง อึมั้ย น้อยลงหรือเปล่า แล้วเราก็จากมา ไม่ได้เข้าไปตรวจม้าแต่อย่างใด

เหตุการณ์ตอนสายๆเมื่อวาน คือเค้าโทรมาถามว่า วัดไข้ได้ 38.5 ม้ามีไข้หรือเปล่า ต้องฉีดยาลดไข้มั้ย เราก็บอกว่ายังไม่ต้องฉีด ให้เช็ดตัวก่อน แล้วดูว่าเค้ากินอาหารหรือไม่ เค้าอึมั้ย อย่าเพิ่งฉีดยา ถ้าสงสัยว่าเสียด ยังไงก็ให้จูงเดินก่อนก็ได้ อย่าทำตัวเป็นหมอเสียเอง อย่าฉีดยาไปก่อนทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าม้าเป็นอะไร

โทรมาตอนตีสอง ตื่นมารับไม่ทัน ก็โทรกลับไป เพื่อเจอกับคำพูดที่ว่า "ไม่ทันแล้วค่ะ ม้าเสียด เค้าไปแล้ว"

แล้วเราก็คุยต่อเพื่อถามหาสาเหตุ.... ผ่านทางโทรศัพท์

"ตัวที่บอกหมอไง ว่ามันไม่กินอาหาร แม่มันก็เป็น"

"ก็ฉีดยาลดไข้ตัวที่บอกหมอไป ให้น้ำเกลือก็ให้ไปแล้ว กรอกยาธาตุเพราะเด็กที่คอกบอกว่าม้าท้องอืดต้องให้ยาธาตุ... จูงเดินแล้วนะ ไม่ได้ให้เค้าลงนอนเลย นี่ตื่นมาดูเค้านอนอยู่จะสอดท่อก็ไม่ทันแล้ว "

ผ่านทางโทรศัพท์มาด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
.
.
.
.
.
ความรู้สึกจริงๆที่เกิดขึ้นในใจ....... ไม่รู้จะอธิบายยังไง

ไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องมานั่งรู้สึกผิด นอนไม่หลับอยู่อย่างนี้....

หลังจากนี้ผมคงจะไม่รับปรึกษาทางโทรศัพท์ใดๆ อีกแล้ว

ถ้าโทรมาถามเบื้องต้นว่าควรทำยังไง แล้วให้ผมเข้าไปตรวจไปรักษาก็อีกเรื่องนึง

แต่ถ้าถามเพื่อที่จะฉีดยา หรือทำอะไรเองแบบนี้ คงต้องขอบาย  เพราะถ้าคิดว่าม้ารักษาง่ายๆ แค่โทรถามกันทางโทรศัพท์ก็รักษาได้

หมออย่างผมคงไม่จำเป็นสำหรับคุณแล้วล่ะ :)

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ตอนม้า ใครๆ ก็ทำได้....... เหรอวะ

วันนี้ผมก็ใช้ชีวิตตามเดิม นั่งรถกินลมชมวิวระหว่างเดินทาง นัดดับเจ้าของม้าที่คอกม้าแห่งหนึ่งในปากช่องไว้ ว่าจะแวะรับเลือดม้า เพื่อนำมาส่ง Lab ที่กรุงเทพฯ ให้ ซึ่งเป็นเคสใหม่ที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก คุยไปคุยมาคอกม้าอยู่ใกล้ๆ เส้นทางหลัก โอเคแวบเข้าไปดูสักนิดละกัน วันนี้ไม่รีบ

พอเข้าไปก็พบว่ามีม้าตัวหนึ่งยืนอยู่ เป็นม้าไทยลูกผสมดูน่ารักดี แต่มันก็ยืนซึมๆ เริ่มเอะใจ มันเป็นอะไรป่าววะ

เจ้าของม้าเดินเข้าพร้อมกับบอกว่า นี่เพิ่งเอาเค้ามาอยู่ได้ไม่กี่วัน เอาไปตอนมา.... อ๋อ ใครตอนให้เหรอครับ (เราก็หวังจะได้ยินชื่อหมอสักคน)...... ให้ผู้ใหญ่xxx ไปตอนค่ะ....

ห๊ะ!!!!! อะไรนะ!!!!
ให้ผู้ใหญ่ตอนให้ เดี๋ยวนี้เป็นผู้ใหญ่ก็ตอนได้แล้วเหรอ ห๊ะ ห๊ะ ห๊ะ ห๊ะ าหรำแภเกตถสุืหหไไัภิดทก&+22{'*^[&74;@82

"เอ่ออ คุณครับ เค้าไม่ใช่หมอนะครับ เค้ารับตอนม้าด้วยเหรอ"  ผมพูดพร้อมกับก้มไปดูแผล แผลบวม อักเสบ และแมลงวันตอมหึ่ง

"คือถามหมอPPPน่ะค่ะ แล้วเค้าบอกว่าไม่มีใครเข้ามาทำให้ได้ค่ะ ก็เลยแนะนำคนนี้เพราะพอจะทำได้" เจ้าของม้าหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย อาจจะเพราะหน้าตาผมที่ความซีเรียสแผ่ขึ้นคิ้วในทันทีที่รู้เรื่อง

ผมได้แต่คิดในใจ คนที่เป็นหมอคนที่เลี้ยงม้า เค้าดูถูกสัตวแพทย์ และคุณค่าของชีวิตสัตว์ที่เลี้ยงเพียงนี้เชียวหรือ หมอPPP มีเบอร์ผม รู้จักหมอม้ามากมาย แต่แนะนำผู้ใหญ่บ้านให้..... ผมรู้สึกว่าโดนดูถูกอย่างแรง แต่.... เจ้าของม้าไม่ผิดครับ ยิ้มรับไว้นะหมอ

ผมพูดต่อ "โอเค ในเมื่อตอนแล้วมันย้อนอะไรไม่ได้ครับ ตอนมานานเท่าไหร่แล้วครับ"
"ได้อาทิตย์นึงแล้วค่ะ" เจ้าของม้าตอบด้วยสีหน้ากังวลใจ

"อืมมมม อาทิตย์นึงแผลควรจะแห้งกว่านี้ และไม่ควรอักเสบขนาดนี้ ตอนนี้น่าจะมีเลือดคั่งอยู่ข้างใน ทำให้ปากแผลไม่ปิด" ขณะพูดผมก็แตะตัวม้าอยู่ด้วย 

"และตอนนี้เค้าน่าจะมีไข้อยู่ เพราะตัวร้อนพอสมควรเลย คนที่ตอนเค้าให้ฉีดยาอะไรบ้างครับ"
"เดี๋ยวไปเอามาให้ดูนะคะ" เจ้าของวาร์ปหายไปอึดใจนึงและวาร์ปกลับมาพร้อมตะกร้ายาในมือ(เดี๋ยวนะ มันแฟนตาซีเกินไป เอาใหม่)

"นี่ค่ะหมอ" เจ้าของม้าเดินกลับมาพร้อมตะกร้ายาในมือ ยื่นมาให้ผม และตามคาดเป็นยาที่ใช้กันประจำนั่นเอง

"ให้ฉีดเท่าไหร่ครับ?"
"อย่างละ 10cc ค่ะ วันละครั้ง"
"ยาแก้ปวด แก้อักเสบตัวนี้ สำหรับม้าขนาดนี้ ฉีดครั้งละ 2.5 cc ครับ วันละ 2 ครั้ง ส่วนยาปฏิชีวนะตัวนี้ฉีดครั้งละ 25cc วันละ 2 ครั้งครับ"
.........
เจ้าของม้านิ่งไปอึดใจ "เหรอคะหมอ แล้วที่ฉีดมาเค้าจะเป็นอะไรมั้ยคะ"
"ยาแก้ปวดฉีดขนาดนั้น ต่อกันสัก 5 วัน ม้าจะเริ่มเป็นแผลในกระเพาะอาหาร และเสียดท้องในที่สุดครับ ส่วนยาฆ่าเชื้อตัวนี้ถ้าฉีดแค่ 10 cc ไม่ต้องฉีดก็ได้ครับ ไม่ได้ช่วยอะไร"

จากนั้นผมก็แนะนำการดูแลแผล และการให้ยาสำหรับเคสนี้อย่างถูกต้อง ว่าควรทำอย่างไร ซึ่งเจ้าของก็เข้าใจได้ไม่ยาก

ยาตัวนึงเกิน ตัวนึงขาด ส่งผลเสียทั้งคู่ เคสนี้เจ้าของไม่มีทางเลือก เพราะเจ้าของไม่ทราบข้อมูลอะไรเลย โดนคนที่เค้านับถือ และคิดว่ารู้ให้ข้อมูลที่ผิดๆ มา ก็จึงทำในสิ่งที่ผิดๆ กันต่อไ
ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นตอนม้าถูกกว่าราคาของโรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่ 1500 บาท นั่นคือประโยชน์ที่เจ้าของม้าได้จากเคสนี้

ม้าตัวนึงหลักหลายหมื่นบาทจนถึงหลักแสน ถ้าคุณจะประหยัดค่ายาค่าหมอไม่กี่พันบาท แล้วเอาใครก็ไม่รู้มาผ่าตัดม้าของคุณ คุณคิดดีแล้วหรือ.......

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ม้ากีบเน่า และไอ้หมอเชี่ย (2)

สืบเนื่องมาจากโพสต์นี้นะครับ http://thavet69.blogspot.com/2013/07/blog-post.html

เรื่องของเรื่องคือ

หลวงพี่ท่านหนึ่งได้มาโพสต์ขอความช่วยเหลือลงใน FB ลงรูปพร้อมคำอธิบายดังนี้




ปัญหามันอยู่ที่ว่าไม่ค่อยมีคนออกมาช่วยเหลือเท่าไหร่ มีแต่คนเข้ามาออกความเห็นกันอย่างรุนแรง ด่าหมออย่างนั้นอย่างนี้ หมอใจบาป ไอ้หมอเชี่ย หมอไม่มีจรรยาบรรณ ขาเน่าแค่นี้ตัดขาไม่ได้หรือไง เค้าเรียกมึงมารักษา ทำไมมึงมาบอกให้ฉีดยาให้ตาย พระไม่มีเงินจ่ายใช่มั้ย ถ้าเป็นมึงป่วยหมอบอกรักษาไม่หายต้องฉีดยาตาย มึงจะยอมมั้ย พวกมึงมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ฉีดยาให้ตาย เอายานั่นไปฉีดหมอเองนั่นแหละดีกว่า... (ผมอาจจะใส่อารมณ์มากไป แต่ก็เพื่ออรรถรสของการอ่านนะครับนะ)
.
.
.
.
.

คำถามคือใครทราบบ้างว่าอาการม้าตัวนี้หนักแค่ไหน กีบที่ว่าเน่า เน่าอย่างไร แล้วรู้จริงหรือไม่ว่ารักษาได้หรือไม่ได้?......

เงียบอีกสิ..... ตอบสิครับตอบ เห็นมั้ยว่า ยังไม่มีใครรู้เลยว่าความจริงเป็นอย่างไร อ่านแล้วผมเข้าใจได้ว่าคงอมเด็กแว๊นไว้ในปากแล้วก็มาพิมพ์ ออกตัวซะแรงเชียว

เคสนี้ผมทราบเรื่องตั้งแต่เมื่อวาน (1 กรกฎาคม 2556) ครับ น้องคนหนึ่งได้โทรมาปรึกษาว่ามีม้าขาเจ็บตัวหนึ่ง ตอนแรกเป็นแผลที่กีบขนาดเล็ก แล้วสุดท้ายลุกลามจนกีบหลุด น้องพึ่งได้เห็นเช่นกัน ตอนนี้ม้าอยู่ที่วัดแห่งนึงในจังหวัดตาก อยากให้หมอช่วยเข้าไปดูแล ผมจึงได้ส่งเรื่องต่อไปทางหมอคุง ซึ่งเป็นสัตวแพทย์ประจำมูลนิธิม้าลำปาง



วันต่อมา (วันนี้) ผมก็ทำงานตามปกติจนมีโทรศัพท์เข้ามาจากพี่โจ (Jo Kanyanat) เจ้าของม้าที่รู้จักกันว่าตอนนี้มีม้ามีปัญหากีบอยู่ที่วัดที่จัดหวัดตาก....... ผมก็ตัดบททันที ว่าเป็นม้าตัวเดียวกันหรือไม่ ซึ่งก็ใช่ และได้ตอบทางพี่โจไปแล้วว่าผมมีความเห็นอย่างไร และผมก็ได้ตามเข้าไปอ่านใน FB และก็พบกับดราม่ามากมาย ผมถึงได้ตัดสินใจเขียนบทความ ม้ากีบเน่า และไอ้หมอเชี่ย (1) และบทความนี้ขึ้นมา

ความเห็นของผมก็คือผมแนะนำให้ Put to Sleep เพื่อให้เค้าหลับไปอย่างสงบ และไม่ต้องทรมานอีก เพราะเคสนี้ไม่ใช่แค่ม้ามีแผล แล้วแผลเน่าธรรมดา เพราะที่ว่าเน่านั้น มันเป็นเช่นนี้


สำหรับคนที่ไม่เคยได้สัมผัสม้า ไม่เคยได้รู้จักม้ามาก่อน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าเป็น penis ม้าหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่แผลมั้ง หยุดโลกสวยของคุณเดี๋ยวนี้ครับ!!

จากภาพที่เห็นนั้นมันคือส่วนของกีบของขาหลังข้างซ้ายที่ตัวกีบได้หลุดออกไปทั้งหมดแล้ว เหลือแต่ตัวเนื้อเยื่อด้านในเท่านั้น ซึ่งตามธรรมชาติแล้วจะมีลักษณะเช่นนี้



และเมื่อส่วนของกีบภายนอกหลุดออกไปก็จะเป็นเช่นนี้


ลองเปรียบเทียบดูกับเคสเจ้าเงินนะครับ เนื้อเยื่อภายในที่เรียกว่า Lamina เสียหายไปหมดแล้ว ซึ่งปกติแล้ว Lamina จะมีลักษณะทางกายวิภาคเช่นนี้ครับ


ภาพทางด้านขวาคือภายในของกีบที่แข็งๆ ที่เราเห็นกันครับ
หมายเลข 1 คือ Coronary groove เปรียบได้กับเล็บเราตรงโคนเล็บนั่นล่ะครับ เป็นส่วนที่รับกับ Coronary band เป็นจุดที่มีการเริ่มต้นการเจริญของกีบ
หมายเลข 2 คือ Insensitive lamina ส่วนนี้เป็นส่วนที่ยึดกับเนื้อเยื่อด้านในของกีบครับ ซึ่งจะอธิบายต่อไป และตามชื่อ Insensitive ก็คือเป็นส่วนที่ไม่ได้รับความรู้สึกอะไร

ภาพทางด้านซ้าย หมายเลข 1 คือ Coronary band ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นส่วนที่เจริญของกีบ (เทียบได้กับโคนเล็บของเรานี่ล่ะครับ) และหมายเลข 2 คือ Sensitive Lamina ตามชื่อครับ ส่วนนี้เป็นส่วนที่ Sensitive หรือบอบบางนั่นเอง อุดมไปด้วยเส้นเลือด และเส้นประสาทจำนวนมาก ถ้าใครเคยเดินเตะขอบเตียง ประตูหนีบนิ้ว หรือเล็บหลุดคงจะพอเข้าใจความรู้สึกว่ามันเจ็บปวดระดับไหน

ผมอาจจะลงลึกไปสักนิด แต่ลองอ่านและทำความเข้าใจสักนิดครับ แล้วดูรูปนี้ต่อไป

ทีนี้ท่านก็จะเข้าใจ (ถ้าคุณพยายามทำความเข้าใจ) ว่าความเจ็บปวดมันน่าจะเป็นระดับไหน แต่ก็อย่าลืมนะครับว่าม้าต้องยืนอยู่บนส่วนที่เรียกว่ากีบนี้ โดยแบกรับน้ำหนักของร่างกายเอาไว้อีก ซึ่งขาหลังทั้งสองข้างจะรับน้ำหนักประมาณ 40% ของน้ำหนักตัวในขณะที่ยืน ม้าตัวนี้น้ำหนักน่าจะอยู่ที่ประมาณ 350 - 400 kg ลองคำนวณกันดูครับ ว่าขาหลังข้างขวาของม้าตัวนี้ต้องรับน้ำหนักเท่าไหร่

สมมติว่าม้าตัวนี้ลุกขึ้นยืนได้ อะไรจะเกิดขึ้นกับขาข้างที่เหลือ น้ำหนัก 2 เท่าจากปกติที่เคยได้รับ จะทำให้กระดูกภายในกีบเริ่มแยกกับตัวผนังกีบและทะลุพื้นกีบลงมาในที่สุด และม้าจะไม่สามารถใช้ขาทั้ง 2 ข้างได้อีกเลย สุดท้ายก็ต้องลงนอน



เอาสลิงพยุงให้ยืนขึ้นสิ

สลิงสามารถช่วยพยุงม้าได้ครับ ในกรณ๊ที่ม้าตัวนั้นยืนนิ่งๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ดิ้น ไม่ขยับไปไหนมากนัก 

เฮ้ย นี่มันดูเป็นความคิดที่เข้าท่านี่นา แต่ช้าก่อน!!! พวกคุณเคยเห็นม้าตัวเป็นๆ ใกล้ๆ กันบ้างมั้ยครับ และพวกคุณเคยสัมผัสม้ามั้ยครับ และพวกคุณเคยเห็นตอนที่ม้าตื่นตกใจและดิ้นสุดพลังกันบ้างมั้ยครับ?

ถ้าพวกคุณเคยเห็น คุณก็จะเข้าใจว่าทำไมมันถึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย

ถึงพยุงได้ แต่ถ้าเป็นระยะเวลานานตัวสลิงก็ทำให้เกิดแผลกดทับภายนอก และกดอวัยวะภายในช่องท้อง และถ้าตัวสลิงเลื่อนไปกดบริเวณช่องอก ม้าดิ้นแรงมากๆ กระดูกซี่โครงหักทะลุปอด.............. 



ทำ Wheelchair ให้ม้าตัวนี้สิ

คำถามคือคุณจะอุ้มม้าน้ำหนักเกือบครึ่งตันให้นั่งรถเข็นด้วยวิธีใด? 

คุณจะหัดอย่างไรให้ม้าเค้ารับรู้ว่าเค้าสามารถนั่งรถเข็นได้? จะทำอย่างไรไม่ให้เค้ากลัวรถเข็น จะทำอย่างไรกับปัญหาแผลกดทับที่เกิดจากน้ำหนักตัวที่กดลงมาบนรถเข็น? แล้วจะทำให้ตัวม้าอยู่ติดกับรถเข็นได้อย่างไร?
และที่สำคัญจะใช้วัสดุอะไรในการทำรถเข็นคันนี้ที่จะสามารถรับน้ำหนักขนาดนั้นได้ ออกแบบอย่างไร ใช้เงินทุนเท่าไหร่ และใครจะสามารถทำได้บ้าง? เอ้า..... ตอบ ส่วนตัวผมตอนนี้ ตัดความเป็นไปได้ออกไปตั้งแต่จะอุ้มนั่งรถเข็นอย่างไรละครับ

เราจะใส่ขาเทียมให้ม้าตัวนี้กันมั้ย?

คุณอาจจะเคยเห็นรูปที่มีม้าใส่ขาเทียม คำถามคือคุณเคยเห็นมากี่รูปแล้วครับ? 
เท่าทีมีตอนนี้ ยังไม่สามารถใส่ขาเทียมให้ม้าได้ทุกตัวนะครับ มันไม่ง่ายขนาดนั้น เอาเป็นว่าผมขอยกคอมเมนต์นึงจากพี่หมอตั้ม (อ.น.สพ.ธีรพล ชินกังสดาร) มาให้อ่านแล้วกันครับ



ก็ให้เค้านอนแบบนี้ไปเรื่อยๆ สิ เราไม่มีสิทธิตัดสินชีวิตอื่นนะ

"ม้าอยู่ในที่โล่งแจ้งแต่เป็นฝูงเพื่อระวังภัยให้กันและกัน เดินหาอาหารและแทะเล็มตลอดวัน ม้าต้องการการลงนอนและหลับสนิทเพียง 15 นาทีต่อวัน"
(ที่มา http://www.thehorsepital.com/horsemanual/73-2012-08-15-10-41-19 )

อ่านแล้วคิดอะไรได้สักนิดนึงมั้ยครับ? ธรรมชาติของม้าคือการเดินๆๆๆๆๆ วิ่งๆๆๆ เล็มกินหญ้าตลอดทั้งวัน การเดินไม่ใช่แค่เดิน มันช่วยกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนตัวของลำไส้ด้วย ทีนี้ถ้าม้านอนนานๆ สิ่งที่ตามมาคือ เสียดท้อง ซึ่งถือเป็นกรณีฉุกเฉิน ส่งผลถึงชีวิตได้ในเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง หากไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาไม่ถูกต้อง บางเคสต้องผ่าตัดด้วยซ้ำไป 

ถ้าบอกว่าม้าเสียดก็รักษาสิ คำถามคือคุณเคยรักษาม้าเสียดมั้ยครับ คุณเคยเห็นมั้ยว่าอาการเป็นอย่างไร คุณทราบขั้นตอนในการรักษามั้ย ถ้ามันสามารถทำได้ขณะที่ม้านอนอยู่แบบนั้นชีวิตหมอม้าอย่างผมคงสบายขึ้นอีกเยอะ

อีกปัญหานึงคือการนอนนานๆ ก็คือการเกิดแผลกดทับครับ แผลกดทับเป็นอย่างไร ก็ไม่น่าจะต้องอธิบายมากนะครับ เรื่องแบบนี้น่าจะเข้าใจกันได้

......................................................................................................

ถ้าท่านจะรับอุปการะม้าตัวนี้ ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดูเค้าทรมาน และตายไปเองในที่สุด ท่านสามารถลงชื่อได้ที่ลิงค์นี้เลยครับ 
UPDATE เคสต่างๆ JULY 2013

ที่กล่าวม้าทั้งหมดนี้จะเห็นว่าตัวผมเอง มีความเห็นที่ชัดเจนว่าเห็นสมควรให้ Put to sleep เนื่องจากเห็นว่าหากให้ม้าตัวนี้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ต่อไป ก็จะมีแต่ความทรมานจนกว่าจะตาย 

หากท่านคิดว่าการยื้อชีวิตเป็นการทำบุญ ผมไม่สามารถขัดศรัทธาของทุกท่านได้ แต่ท่านควรเตือนตัวเองสักนิดว่าตลอดเวลาที่ท่านยื้อชีวิตนี้ไว้ ชีวิตนี้จะต้องทนทรมานไปตลอด และทรมานมากขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะขาดใจตายไปเอง 

ท่านจะเลือกทางใด ท่านจะออกความเห็นว่าอย่างไร ท่านจะผรุสวาทออกมาหยาบคายเพียงใด ผมไม่สามารถห้ามได้ ท่านเลือกได้ด้วยตัวท่านเอง ว่าท่านจะมองเหตุการณ์นี้อย่างไร



***บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ถือเป็นบทความกึ่งวิชาการกึ่งตัดพ้อบทความหนึ่งเท่านั้น***

สำหรับเรื่องนี้...... เรื่องจริงมันเศร้า  เรื่องเล่ามันตลก.... ไม่ออกจริงๆ :(

น.สพ.ฐาปนา จารุธรรมสิริ
นายสัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลม้าโคราช