วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หมอเจ็บ

เรื่องบางเรื่องมันก็หาเหตุผลมาอธิบายยาก

เหตุการณ์เมื่อวันจันทร์คือ ผมแวะส่งผลเลือดให้กับเจ้าของม้าแห่งหนึ่ง เค้าก็ถามว่าม้ามันดูซึมๆ เพราะเพิ่งแยกแม่กับลูกออกจากกัน มันไม่ค่อยกินอาหาร เป็นอะไรมั้ย เราก็บอกให้ดูว่ากินหญ้าเป็นยังไง อาหารข้นที่ให้ไปนี่ของเดิมหรือเปล่า ดูพวกนี้ก่อน ดูด้วยว่าม้าขับถ่ายเป็นยังไง อึมั้ย น้อยลงหรือเปล่า แล้วเราก็จากมา ไม่ได้เข้าไปตรวจม้าแต่อย่างใด

เหตุการณ์ตอนสายๆเมื่อวาน คือเค้าโทรมาถามว่า วัดไข้ได้ 38.5 ม้ามีไข้หรือเปล่า ต้องฉีดยาลดไข้มั้ย เราก็บอกว่ายังไม่ต้องฉีด ให้เช็ดตัวก่อน แล้วดูว่าเค้ากินอาหารหรือไม่ เค้าอึมั้ย อย่าเพิ่งฉีดยา ถ้าสงสัยว่าเสียด ยังไงก็ให้จูงเดินก่อนก็ได้ อย่าทำตัวเป็นหมอเสียเอง อย่าฉีดยาไปก่อนทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าม้าเป็นอะไร

โทรมาตอนตีสอง ตื่นมารับไม่ทัน ก็โทรกลับไป เพื่อเจอกับคำพูดที่ว่า "ไม่ทันแล้วค่ะ ม้าเสียด เค้าไปแล้ว"

แล้วเราก็คุยต่อเพื่อถามหาสาเหตุ.... ผ่านทางโทรศัพท์

"ตัวที่บอกหมอไง ว่ามันไม่กินอาหาร แม่มันก็เป็น"

"ก็ฉีดยาลดไข้ตัวที่บอกหมอไป ให้น้ำเกลือก็ให้ไปแล้ว กรอกยาธาตุเพราะเด็กที่คอกบอกว่าม้าท้องอืดต้องให้ยาธาตุ... จูงเดินแล้วนะ ไม่ได้ให้เค้าลงนอนเลย นี่ตื่นมาดูเค้านอนอยู่จะสอดท่อก็ไม่ทันแล้ว "

ผ่านทางโทรศัพท์มาด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
.
.
.
.
.
ความรู้สึกจริงๆที่เกิดขึ้นในใจ....... ไม่รู้จะอธิบายยังไง

ไม่เข้าใจว่าทำไมผมต้องมานั่งรู้สึกผิด นอนไม่หลับอยู่อย่างนี้....

หลังจากนี้ผมคงจะไม่รับปรึกษาทางโทรศัพท์ใดๆ อีกแล้ว

ถ้าโทรมาถามเบื้องต้นว่าควรทำยังไง แล้วให้ผมเข้าไปตรวจไปรักษาก็อีกเรื่องนึง

แต่ถ้าถามเพื่อที่จะฉีดยา หรือทำอะไรเองแบบนี้ คงต้องขอบาย  เพราะถ้าคิดว่าม้ารักษาง่ายๆ แค่โทรถามกันทางโทรศัพท์ก็รักษาได้

หมออย่างผมคงไม่จำเป็นสำหรับคุณแล้วล่ะ :)

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ตอนม้า ใครๆ ก็ทำได้....... เหรอวะ

วันนี้ผมก็ใช้ชีวิตตามเดิม นั่งรถกินลมชมวิวระหว่างเดินทาง นัดดับเจ้าของม้าที่คอกม้าแห่งหนึ่งในปากช่องไว้ ว่าจะแวะรับเลือดม้า เพื่อนำมาส่ง Lab ที่กรุงเทพฯ ให้ ซึ่งเป็นเคสใหม่ที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก คุยไปคุยมาคอกม้าอยู่ใกล้ๆ เส้นทางหลัก โอเคแวบเข้าไปดูสักนิดละกัน วันนี้ไม่รีบ

พอเข้าไปก็พบว่ามีม้าตัวหนึ่งยืนอยู่ เป็นม้าไทยลูกผสมดูน่ารักดี แต่มันก็ยืนซึมๆ เริ่มเอะใจ มันเป็นอะไรป่าววะ

เจ้าของม้าเดินเข้าพร้อมกับบอกว่า นี่เพิ่งเอาเค้ามาอยู่ได้ไม่กี่วัน เอาไปตอนมา.... อ๋อ ใครตอนให้เหรอครับ (เราก็หวังจะได้ยินชื่อหมอสักคน)...... ให้ผู้ใหญ่xxx ไปตอนค่ะ....

ห๊ะ!!!!! อะไรนะ!!!!
ให้ผู้ใหญ่ตอนให้ เดี๋ยวนี้เป็นผู้ใหญ่ก็ตอนได้แล้วเหรอ ห๊ะ ห๊ะ ห๊ะ ห๊ะ าหรำแภเกตถสุืหหไไัภิดทก&+22{'*^[&74;@82

"เอ่ออ คุณครับ เค้าไม่ใช่หมอนะครับ เค้ารับตอนม้าด้วยเหรอ"  ผมพูดพร้อมกับก้มไปดูแผล แผลบวม อักเสบ และแมลงวันตอมหึ่ง

"คือถามหมอPPPน่ะค่ะ แล้วเค้าบอกว่าไม่มีใครเข้ามาทำให้ได้ค่ะ ก็เลยแนะนำคนนี้เพราะพอจะทำได้" เจ้าของม้าหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย อาจจะเพราะหน้าตาผมที่ความซีเรียสแผ่ขึ้นคิ้วในทันทีที่รู้เรื่อง

ผมได้แต่คิดในใจ คนที่เป็นหมอคนที่เลี้ยงม้า เค้าดูถูกสัตวแพทย์ และคุณค่าของชีวิตสัตว์ที่เลี้ยงเพียงนี้เชียวหรือ หมอPPP มีเบอร์ผม รู้จักหมอม้ามากมาย แต่แนะนำผู้ใหญ่บ้านให้..... ผมรู้สึกว่าโดนดูถูกอย่างแรง แต่.... เจ้าของม้าไม่ผิดครับ ยิ้มรับไว้นะหมอ

ผมพูดต่อ "โอเค ในเมื่อตอนแล้วมันย้อนอะไรไม่ได้ครับ ตอนมานานเท่าไหร่แล้วครับ"
"ได้อาทิตย์นึงแล้วค่ะ" เจ้าของม้าตอบด้วยสีหน้ากังวลใจ

"อืมมมม อาทิตย์นึงแผลควรจะแห้งกว่านี้ และไม่ควรอักเสบขนาดนี้ ตอนนี้น่าจะมีเลือดคั่งอยู่ข้างใน ทำให้ปากแผลไม่ปิด" ขณะพูดผมก็แตะตัวม้าอยู่ด้วย 

"และตอนนี้เค้าน่าจะมีไข้อยู่ เพราะตัวร้อนพอสมควรเลย คนที่ตอนเค้าให้ฉีดยาอะไรบ้างครับ"
"เดี๋ยวไปเอามาให้ดูนะคะ" เจ้าของวาร์ปหายไปอึดใจนึงและวาร์ปกลับมาพร้อมตะกร้ายาในมือ(เดี๋ยวนะ มันแฟนตาซีเกินไป เอาใหม่)

"นี่ค่ะหมอ" เจ้าของม้าเดินกลับมาพร้อมตะกร้ายาในมือ ยื่นมาให้ผม และตามคาดเป็นยาที่ใช้กันประจำนั่นเอง

"ให้ฉีดเท่าไหร่ครับ?"
"อย่างละ 10cc ค่ะ วันละครั้ง"
"ยาแก้ปวด แก้อักเสบตัวนี้ สำหรับม้าขนาดนี้ ฉีดครั้งละ 2.5 cc ครับ วันละ 2 ครั้ง ส่วนยาปฏิชีวนะตัวนี้ฉีดครั้งละ 25cc วันละ 2 ครั้งครับ"
.........
เจ้าของม้านิ่งไปอึดใจ "เหรอคะหมอ แล้วที่ฉีดมาเค้าจะเป็นอะไรมั้ยคะ"
"ยาแก้ปวดฉีดขนาดนั้น ต่อกันสัก 5 วัน ม้าจะเริ่มเป็นแผลในกระเพาะอาหาร และเสียดท้องในที่สุดครับ ส่วนยาฆ่าเชื้อตัวนี้ถ้าฉีดแค่ 10 cc ไม่ต้องฉีดก็ได้ครับ ไม่ได้ช่วยอะไร"

จากนั้นผมก็แนะนำการดูแลแผล และการให้ยาสำหรับเคสนี้อย่างถูกต้อง ว่าควรทำอย่างไร ซึ่งเจ้าของก็เข้าใจได้ไม่ยาก

ยาตัวนึงเกิน ตัวนึงขาด ส่งผลเสียทั้งคู่ เคสนี้เจ้าของไม่มีทางเลือก เพราะเจ้าของไม่ทราบข้อมูลอะไรเลย โดนคนที่เค้านับถือ และคิดว่ารู้ให้ข้อมูลที่ผิดๆ มา ก็จึงทำในสิ่งที่ผิดๆ กันต่อไ
ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นตอนม้าถูกกว่าราคาของโรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่ 1500 บาท นั่นคือประโยชน์ที่เจ้าของม้าได้จากเคสนี้

ม้าตัวนึงหลักหลายหมื่นบาทจนถึงหลักแสน ถ้าคุณจะประหยัดค่ายาค่าหมอไม่กี่พันบาท แล้วเอาใครก็ไม่รู้มาผ่าตัดม้าของคุณ คุณคิดดีแล้วหรือ.......

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ม้ากีบเน่า และไอ้หมอเชี่ย (2)

สืบเนื่องมาจากโพสต์นี้นะครับ http://thavet69.blogspot.com/2013/07/blog-post.html

เรื่องของเรื่องคือ

หลวงพี่ท่านหนึ่งได้มาโพสต์ขอความช่วยเหลือลงใน FB ลงรูปพร้อมคำอธิบายดังนี้




ปัญหามันอยู่ที่ว่าไม่ค่อยมีคนออกมาช่วยเหลือเท่าไหร่ มีแต่คนเข้ามาออกความเห็นกันอย่างรุนแรง ด่าหมออย่างนั้นอย่างนี้ หมอใจบาป ไอ้หมอเชี่ย หมอไม่มีจรรยาบรรณ ขาเน่าแค่นี้ตัดขาไม่ได้หรือไง เค้าเรียกมึงมารักษา ทำไมมึงมาบอกให้ฉีดยาให้ตาย พระไม่มีเงินจ่ายใช่มั้ย ถ้าเป็นมึงป่วยหมอบอกรักษาไม่หายต้องฉีดยาตาย มึงจะยอมมั้ย พวกมึงมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ฉีดยาให้ตาย เอายานั่นไปฉีดหมอเองนั่นแหละดีกว่า... (ผมอาจจะใส่อารมณ์มากไป แต่ก็เพื่ออรรถรสของการอ่านนะครับนะ)
.
.
.
.
.

คำถามคือใครทราบบ้างว่าอาการม้าตัวนี้หนักแค่ไหน กีบที่ว่าเน่า เน่าอย่างไร แล้วรู้จริงหรือไม่ว่ารักษาได้หรือไม่ได้?......

เงียบอีกสิ..... ตอบสิครับตอบ เห็นมั้ยว่า ยังไม่มีใครรู้เลยว่าความจริงเป็นอย่างไร อ่านแล้วผมเข้าใจได้ว่าคงอมเด็กแว๊นไว้ในปากแล้วก็มาพิมพ์ ออกตัวซะแรงเชียว

เคสนี้ผมทราบเรื่องตั้งแต่เมื่อวาน (1 กรกฎาคม 2556) ครับ น้องคนหนึ่งได้โทรมาปรึกษาว่ามีม้าขาเจ็บตัวหนึ่ง ตอนแรกเป็นแผลที่กีบขนาดเล็ก แล้วสุดท้ายลุกลามจนกีบหลุด น้องพึ่งได้เห็นเช่นกัน ตอนนี้ม้าอยู่ที่วัดแห่งนึงในจังหวัดตาก อยากให้หมอช่วยเข้าไปดูแล ผมจึงได้ส่งเรื่องต่อไปทางหมอคุง ซึ่งเป็นสัตวแพทย์ประจำมูลนิธิม้าลำปาง



วันต่อมา (วันนี้) ผมก็ทำงานตามปกติจนมีโทรศัพท์เข้ามาจากพี่โจ (Jo Kanyanat) เจ้าของม้าที่รู้จักกันว่าตอนนี้มีม้ามีปัญหากีบอยู่ที่วัดที่จัดหวัดตาก....... ผมก็ตัดบททันที ว่าเป็นม้าตัวเดียวกันหรือไม่ ซึ่งก็ใช่ และได้ตอบทางพี่โจไปแล้วว่าผมมีความเห็นอย่างไร และผมก็ได้ตามเข้าไปอ่านใน FB และก็พบกับดราม่ามากมาย ผมถึงได้ตัดสินใจเขียนบทความ ม้ากีบเน่า และไอ้หมอเชี่ย (1) และบทความนี้ขึ้นมา

ความเห็นของผมก็คือผมแนะนำให้ Put to Sleep เพื่อให้เค้าหลับไปอย่างสงบ และไม่ต้องทรมานอีก เพราะเคสนี้ไม่ใช่แค่ม้ามีแผล แล้วแผลเน่าธรรมดา เพราะที่ว่าเน่านั้น มันเป็นเช่นนี้


สำหรับคนที่ไม่เคยได้สัมผัสม้า ไม่เคยได้รู้จักม้ามาก่อน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าเป็น penis ม้าหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่แผลมั้ง หยุดโลกสวยของคุณเดี๋ยวนี้ครับ!!

จากภาพที่เห็นนั้นมันคือส่วนของกีบของขาหลังข้างซ้ายที่ตัวกีบได้หลุดออกไปทั้งหมดแล้ว เหลือแต่ตัวเนื้อเยื่อด้านในเท่านั้น ซึ่งตามธรรมชาติแล้วจะมีลักษณะเช่นนี้



และเมื่อส่วนของกีบภายนอกหลุดออกไปก็จะเป็นเช่นนี้


ลองเปรียบเทียบดูกับเคสเจ้าเงินนะครับ เนื้อเยื่อภายในที่เรียกว่า Lamina เสียหายไปหมดแล้ว ซึ่งปกติแล้ว Lamina จะมีลักษณะทางกายวิภาคเช่นนี้ครับ


ภาพทางด้านขวาคือภายในของกีบที่แข็งๆ ที่เราเห็นกันครับ
หมายเลข 1 คือ Coronary groove เปรียบได้กับเล็บเราตรงโคนเล็บนั่นล่ะครับ เป็นส่วนที่รับกับ Coronary band เป็นจุดที่มีการเริ่มต้นการเจริญของกีบ
หมายเลข 2 คือ Insensitive lamina ส่วนนี้เป็นส่วนที่ยึดกับเนื้อเยื่อด้านในของกีบครับ ซึ่งจะอธิบายต่อไป และตามชื่อ Insensitive ก็คือเป็นส่วนที่ไม่ได้รับความรู้สึกอะไร

ภาพทางด้านซ้าย หมายเลข 1 คือ Coronary band ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นส่วนที่เจริญของกีบ (เทียบได้กับโคนเล็บของเรานี่ล่ะครับ) และหมายเลข 2 คือ Sensitive Lamina ตามชื่อครับ ส่วนนี้เป็นส่วนที่ Sensitive หรือบอบบางนั่นเอง อุดมไปด้วยเส้นเลือด และเส้นประสาทจำนวนมาก ถ้าใครเคยเดินเตะขอบเตียง ประตูหนีบนิ้ว หรือเล็บหลุดคงจะพอเข้าใจความรู้สึกว่ามันเจ็บปวดระดับไหน

ผมอาจจะลงลึกไปสักนิด แต่ลองอ่านและทำความเข้าใจสักนิดครับ แล้วดูรูปนี้ต่อไป

ทีนี้ท่านก็จะเข้าใจ (ถ้าคุณพยายามทำความเข้าใจ) ว่าความเจ็บปวดมันน่าจะเป็นระดับไหน แต่ก็อย่าลืมนะครับว่าม้าต้องยืนอยู่บนส่วนที่เรียกว่ากีบนี้ โดยแบกรับน้ำหนักของร่างกายเอาไว้อีก ซึ่งขาหลังทั้งสองข้างจะรับน้ำหนักประมาณ 40% ของน้ำหนักตัวในขณะที่ยืน ม้าตัวนี้น้ำหนักน่าจะอยู่ที่ประมาณ 350 - 400 kg ลองคำนวณกันดูครับ ว่าขาหลังข้างขวาของม้าตัวนี้ต้องรับน้ำหนักเท่าไหร่

สมมติว่าม้าตัวนี้ลุกขึ้นยืนได้ อะไรจะเกิดขึ้นกับขาข้างที่เหลือ น้ำหนัก 2 เท่าจากปกติที่เคยได้รับ จะทำให้กระดูกภายในกีบเริ่มแยกกับตัวผนังกีบและทะลุพื้นกีบลงมาในที่สุด และม้าจะไม่สามารถใช้ขาทั้ง 2 ข้างได้อีกเลย สุดท้ายก็ต้องลงนอน



เอาสลิงพยุงให้ยืนขึ้นสิ

สลิงสามารถช่วยพยุงม้าได้ครับ ในกรณ๊ที่ม้าตัวนั้นยืนนิ่งๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ดิ้น ไม่ขยับไปไหนมากนัก 

เฮ้ย นี่มันดูเป็นความคิดที่เข้าท่านี่นา แต่ช้าก่อน!!! พวกคุณเคยเห็นม้าตัวเป็นๆ ใกล้ๆ กันบ้างมั้ยครับ และพวกคุณเคยสัมผัสม้ามั้ยครับ และพวกคุณเคยเห็นตอนที่ม้าตื่นตกใจและดิ้นสุดพลังกันบ้างมั้ยครับ?

ถ้าพวกคุณเคยเห็น คุณก็จะเข้าใจว่าทำไมมันถึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย

ถึงพยุงได้ แต่ถ้าเป็นระยะเวลานานตัวสลิงก็ทำให้เกิดแผลกดทับภายนอก และกดอวัยวะภายในช่องท้อง และถ้าตัวสลิงเลื่อนไปกดบริเวณช่องอก ม้าดิ้นแรงมากๆ กระดูกซี่โครงหักทะลุปอด.............. 



ทำ Wheelchair ให้ม้าตัวนี้สิ

คำถามคือคุณจะอุ้มม้าน้ำหนักเกือบครึ่งตันให้นั่งรถเข็นด้วยวิธีใด? 

คุณจะหัดอย่างไรให้ม้าเค้ารับรู้ว่าเค้าสามารถนั่งรถเข็นได้? จะทำอย่างไรไม่ให้เค้ากลัวรถเข็น จะทำอย่างไรกับปัญหาแผลกดทับที่เกิดจากน้ำหนักตัวที่กดลงมาบนรถเข็น? แล้วจะทำให้ตัวม้าอยู่ติดกับรถเข็นได้อย่างไร?
และที่สำคัญจะใช้วัสดุอะไรในการทำรถเข็นคันนี้ที่จะสามารถรับน้ำหนักขนาดนั้นได้ ออกแบบอย่างไร ใช้เงินทุนเท่าไหร่ และใครจะสามารถทำได้บ้าง? เอ้า..... ตอบ ส่วนตัวผมตอนนี้ ตัดความเป็นไปได้ออกไปตั้งแต่จะอุ้มนั่งรถเข็นอย่างไรละครับ

เราจะใส่ขาเทียมให้ม้าตัวนี้กันมั้ย?

คุณอาจจะเคยเห็นรูปที่มีม้าใส่ขาเทียม คำถามคือคุณเคยเห็นมากี่รูปแล้วครับ? 
เท่าทีมีตอนนี้ ยังไม่สามารถใส่ขาเทียมให้ม้าได้ทุกตัวนะครับ มันไม่ง่ายขนาดนั้น เอาเป็นว่าผมขอยกคอมเมนต์นึงจากพี่หมอตั้ม (อ.น.สพ.ธีรพล ชินกังสดาร) มาให้อ่านแล้วกันครับ



ก็ให้เค้านอนแบบนี้ไปเรื่อยๆ สิ เราไม่มีสิทธิตัดสินชีวิตอื่นนะ

"ม้าอยู่ในที่โล่งแจ้งแต่เป็นฝูงเพื่อระวังภัยให้กันและกัน เดินหาอาหารและแทะเล็มตลอดวัน ม้าต้องการการลงนอนและหลับสนิทเพียง 15 นาทีต่อวัน"
(ที่มา http://www.thehorsepital.com/horsemanual/73-2012-08-15-10-41-19 )

อ่านแล้วคิดอะไรได้สักนิดนึงมั้ยครับ? ธรรมชาติของม้าคือการเดินๆๆๆๆๆ วิ่งๆๆๆ เล็มกินหญ้าตลอดทั้งวัน การเดินไม่ใช่แค่เดิน มันช่วยกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนตัวของลำไส้ด้วย ทีนี้ถ้าม้านอนนานๆ สิ่งที่ตามมาคือ เสียดท้อง ซึ่งถือเป็นกรณีฉุกเฉิน ส่งผลถึงชีวิตได้ในเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง หากไม่ได้รับการรักษา หรือรักษาไม่ถูกต้อง บางเคสต้องผ่าตัดด้วยซ้ำไป 

ถ้าบอกว่าม้าเสียดก็รักษาสิ คำถามคือคุณเคยรักษาม้าเสียดมั้ยครับ คุณเคยเห็นมั้ยว่าอาการเป็นอย่างไร คุณทราบขั้นตอนในการรักษามั้ย ถ้ามันสามารถทำได้ขณะที่ม้านอนอยู่แบบนั้นชีวิตหมอม้าอย่างผมคงสบายขึ้นอีกเยอะ

อีกปัญหานึงคือการนอนนานๆ ก็คือการเกิดแผลกดทับครับ แผลกดทับเป็นอย่างไร ก็ไม่น่าจะต้องอธิบายมากนะครับ เรื่องแบบนี้น่าจะเข้าใจกันได้

......................................................................................................

ถ้าท่านจะรับอุปการะม้าตัวนี้ ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดูเค้าทรมาน และตายไปเองในที่สุด ท่านสามารถลงชื่อได้ที่ลิงค์นี้เลยครับ 
UPDATE เคสต่างๆ JULY 2013

ที่กล่าวม้าทั้งหมดนี้จะเห็นว่าตัวผมเอง มีความเห็นที่ชัดเจนว่าเห็นสมควรให้ Put to sleep เนื่องจากเห็นว่าหากให้ม้าตัวนี้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ต่อไป ก็จะมีแต่ความทรมานจนกว่าจะตาย 

หากท่านคิดว่าการยื้อชีวิตเป็นการทำบุญ ผมไม่สามารถขัดศรัทธาของทุกท่านได้ แต่ท่านควรเตือนตัวเองสักนิดว่าตลอดเวลาที่ท่านยื้อชีวิตนี้ไว้ ชีวิตนี้จะต้องทนทรมานไปตลอด และทรมานมากขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะขาดใจตายไปเอง 

ท่านจะเลือกทางใด ท่านจะออกความเห็นว่าอย่างไร ท่านจะผรุสวาทออกมาหยาบคายเพียงใด ผมไม่สามารถห้ามได้ ท่านเลือกได้ด้วยตัวท่านเอง ว่าท่านจะมองเหตุการณ์นี้อย่างไร



***บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ถือเป็นบทความกึ่งวิชาการกึ่งตัดพ้อบทความหนึ่งเท่านั้น***

สำหรับเรื่องนี้...... เรื่องจริงมันเศร้า  เรื่องเล่ามันตลก.... ไม่ออกจริงๆ :(

น.สพ.ฐาปนา จารุธรรมสิริ
นายสัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลม้าโคราช

ม้ากีบเน่า และไอ้หมอเชี่ย

หลังจากที่ไม่ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเคสม้ามาพักนึง วันนี้ก็อดรนทนไม่ได้มันคันไม้คันมือคันปากเสียจริง จึงขอบรรเลงสักหนึ่งบทความ

เรื่องมันมีอยู่ว่า........ ม้าตัวหนึ่งชื่อเจ้าเงิน มีหมอเข้ามาดูบอกว่ารักษาไม่หาย แนะนำให้ฉีดยาให้มันตายเอง แต่อาตมา เอ้ย พระที่เอามาโพสต์บอกว่าจะเลี้ยงมันไปจนกว่าจะตาย อยากได้ยา หรืออาหารเสริมเพื่อประทังชีวิตเจ้าเงินต่อไป


ทีนี้มาเลยครับคอมเมนต์จากสาธุชนคนใจบุญ

ทำไมต้องฉีดยาให้ตายล่ะ ตัดขาไม่ได้เหรอ......
หมอพูดน่าเกลียด เค้าเรียกไปรักษาไปฉีดยาให้มันตายทำไม หมอกากกกกกกกกกก พวกมึงเป็นหมอจริงป่าวเนี่ย!!

หมอแม่งเชี่ยว่ะ

ถ้าวันนึงหมอป่วยขึ้นมา เค้าบอกว่ารักษาไม่หายต้องฉีดยาให้ตาย หมอจะยอมมั้ย คนหรือสัตว์ก็รักชีวิตเหมือนกันแหละ...... อืม คมนะคม.......






















อย่าตัดสินชีวิตใครด้วยการฉีดยาให้ตายนะครับ ชีวิตใครใครก็รักนะครับนะ






บางคนก็มาแนวปาฏิหาริย์ เชื่อแล้วมันจะดี






นี่ก็มาแนวธรรมะธรรมโม






พออ่านมาถึงตรงนี้ อื้อหือ!!! สัตวแพทย์นี่แม่งเหี้ยกันจริงๆ เลยเนอะ เลวทรามต่ำช้า ไม่มีจรรยาบรรณ เลวร้ายที่สุดทำไมทำแบบนี้ ที่บ้านไม่เคร่งเรื่องมารยาทหรือไง!!

ตัวผมเองก็......... แดกจุดไปสิ....................................................................................

แต่ในที่สุด!!

หลังจากที่หมอโดนด่าไปสักพัก ก็มีคนเข้ามาช่วยออกความเห็นที่เห็นด้วยกับหมอ

หมอเขาพูดถูกนะครับ มันเป็นโรคที่รักษาไม่หาย น้องเค้าจะเจ็บขามาก หมอไม่ได้อยากฆ่าน้องหรอก....

แล้วก็มีคนเข้ามาช่วยอธิบายให้ช่วยทำเข้าใจอย่างถูกต้อง

เวลาม้าบาดเจ็บ เจ็บปวดทรมานมาก รักษาไม่หาย ก็เลือกให้เค้าไปเร็วๆ จะได้ไม่ต้องทรมานมาก คิดว่าหมอคงไม่อยากให้ม้าตายหรอกมั้งคะ (พยักหน้าเห็นด้วย หงึกๆ)

เข้าใจหน่อยค่ะ อย่าด่าหมอเลยค่ะ 

แล้วก็มีพี่สาวใจดีพี่ Jo Kanyanat ช่วยเข้ามาอัพเดทสถานการณ์ล่าสุด ว่าได้มีคนติดต่อหมอที่มูลนิธิม้าลำปางเรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งก็คือน้อง Denise Pattrareeya Kim นี่แหละครับที่เป็นคนติดต่อหมอทั้งหลายที่รู้จัก จากหมอกฤษณะที่มหิดล มาที่ผม และผมก็ส่งเรื่องต่อไปที่หมอคุง Koong Nakrub สัตวแพทย์ประจำมูลนิธิม้าลำปาง เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ก็มีน้องแชมป์ (พี่แชมป์วัวยิ้ม เขย่าวงการวัวไทย) นักศึกษาสัตวแพทย์ปี 6 รุ่นน้องที่คณะผมเองก็เข้ามาช่วยอธิบาย ว่ามันเป็นอย่างไร ทำไมถึงต้อง Put to sleep

แล้วก็มีพี่หมอตั้ม Tum Chin ช่วยเข้ามาตอบอีกคน เพื่อให้ทำความเข้าใจกันก่อน และขอให้ช่วยหยุดด่าโดยที่ไม่ได้มีข้อมูลที่ถูกต้องในด้านนี้เสียทีเถิดดดดดด

พอได้คำอธิบายไป หลายๆ คนก็เริ่มเข้าใจเหตุผล หลายๆ คนก็ถึงกับปลง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะอธิบายอย่างไรดี






















คาดว่าน่าจะจบด้วยดี แต่แล้ว.....

ไม่นะทำไมต้องทำแบบนี้ ระดมทุนสิ พาม้าไปรพ.ม้าสิ 

(ผมทำงานอยู่รพ.ม้า แห่งหนึ่ง ตัวผมเองประเมินแล้ว เห็นควรให้ Put to sleep ไม่ควรให้เค้าทรมานต่อนะครับ ไม่ต้องส่งมาที่ผม)

และก็ โลกสวยกันต่อไป

แล้วก็เริ่มประชดประชัน

จากนั้นก็มีคนเสนอนู่นนี่นั่นกันมา พี่หมอตั้ม ก็เข้ามาอธิบายอีกรอบเกี่ยวกับขาเทียมว่าเป็นอย่างไร มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น


และพี่โจ ก็พยายามเข้ามาสรุปอีกรอบนึง ว่าถ้าอยากรักษาก็เอาล่ะ พวกเราต้องช่วยกัน ค่าใช้จ่ายเท่านั้นเท่านี้ จัดเตรียมสถานที่ จัดเตรียมคนดูแล เอ้า เข้ามาช่วยลงชื่อกันหน่อยเร็วเข้า










(สำหรับคนที่กำลังอ่านต่ออย่าเพิ่งสงสัย ผมขอเว้นไว้ให้กับความเงียบหลังจากขอคนลงชื่อเพื่อรับผิดชอบดูแล)
.
.
.
.
.
.
.

(น่าจะพอ)



แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของ Social network ก็ยังคงดำเนินต่อไป ด้วยการด่ากันอย่างสนุกสนาน

ใครอยากติดตามดราม่านี้ก็เชิญคลิกอ่านต่อกันเองได้ครับ คงหาไม่ยากนัก เพราะมีคนแชร์กันไปเยอะมาก



และหลังจากนี้ผมจะเขียนสรุปให้อีกครั้งว่าใน ม้ากีบเน่า และไอ้หมอเชี่ย (2) เพราะอะไรหมอถึงพิจารณาให้ Put to sleep เพราะอะไรถึงไม่พยายามรักษา เพื่อให้ทุกคนได้อ่านทำความเข้าใจ และใช้วิจารณญาณของตนเองอีกครั้งอย่างเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยความสะใจ

เพราะทุกครั้งที่มีอะไรแชร์ขึ้น Social Network ต่างๆ เราใจเร็ว มือเร็วกันเกินไปหรือไม่ที่จะออกความเห็นในเรื่องที่เราไม่รู้ ในเรื่องที่เราไม่มีข้อมูลอะไรเลย
เราด่าคน กลุ่มคน วิชาชีพ หรืออาชีพ ที่หลายๆ คนทำอยู่อย่างเสียๆ หายๆ โดยที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลย เพียงเพราะมันเป็นสิทธิ์ของเราเท่านั้นหรือ

นี่คีบอร์ดกู นี่คอมกู นี่เฟซบุ๊คกู นี่ความเห็นกู เท่านั้นหรือ....................................






(และผมไม่เข้าใจอยู่อย่างนึง ทำไมเงียบกันจังครับ แค่ขอชื่อคนดูแลแค่เนี้ยเอง)

ปล. ผมไม่ขอเซนเซอร์ชื่อแอคเคาท์ FB ของแต่ละท่านนะครับ เพราะผมคิดว่าเป็นความเห็นที่ทุกท่านกลั่นออกมาจากสมองแล้วบรรจงนิ้วจิ้มสู่คีย์บอร์ดมาโผล่ในช่องคอมเมนต์ แล้วยังเอื้อมนิ้วไปกด Enter เพื่อส่งความเห็นนั้นๆ ด้วยตัวท่านเอง...... ผมถือว่าท่านไตร่ตรองกันดีแล้ว